แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับท่าทีและการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “นักเรียนเลว” และกลุ่ม “นักศึกษาปลดแอก” รวมทั้งแนวร่วมปลดแอกทั้งหลายทั้งปวงที่กลายมาเป็น “คณะราษฎร 63” ในเวลานี้
แต่วันนี้ ผมก็ไม่เห็นด้วยกับท่าทีและปฏิบัติการของฝ่ายอำนาจรัฐที่กระทำต่อเยาวชนเหล่านั้นยิ่งกว่า
โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตอนตีสี่ของวันที่ 15 ตุลาคม และการใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดน้ำผสมสารเคมีสลายการชุมนุมที่ดำเนินไปอย่างสงบและปราศจากอาวุธในคืนวันที่ 16 ตุลาคม
อะไรทำให้ท่าทีของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป จากที่ก่อนหน้านี้เคยประนีประนอม อะลุ่มอล่วย เคยมองกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างลูกหลาน เรื่องนี้รัฐบาลรู้อยู่แก่ใจ และคนที่ติดตามสถานการณ์ก็วิเคราะห์ได้ไม่ยาก
ที่ผ่านมา การชุมนุมของคนกลุ่มนี้ ไม่สู้มีพลังมากนัก จำนวนคนเข้าร่วมไม่มาก ชุมนุมไม่นานก็เลิกลากันกลับ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ด้านหนึ่งเนื่องจากคนจำนวนไม่น้อยยังรับข้อเรียกร้องบางข้อไม่ได้ บวกกับวุฒิภาวะความเป็นผู้นำและท่าทีที่ก้าวร้าวกักขฬะของแกนนำบางคน
อีกด้านหนึ่งเนื่องจากรัฐบาลใช้ความอดทนอดกลั้น ไม่ใช้มาตรการที่รุนแรงไปแก้ปัญหา การชุมนุมแต่ละวัน แม้จะมีแกนนำตัวหลักๆ พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ว่าจะเป็น พริษฐ์ เพนกวิน, รุ้ง ปนัสยา, ทนายอานนท์ นำภา, ไมค์ ระยอง หรือ ไผ่ ดาวดิน ผู้เข้าร่วมการชุมนุมก็ยังคงเท่าเดิม ไม่มากมายอะไรนัก
แต่หลังจากการจับกุม ไผ่ ดาวดิน ในวันที่ 13 ตุลาคม และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตอนตีสี่ของวันที่ 15 ตุลาคม ซึ่งตามมาด้วยการบุกเข้าจับกุมผู้ชุมนุมเกือบยี่สิบคน พร้อมแกนนำอันมีทนายอานนท์ นำภา, พริษฐ์ เพนกวิน, ประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ และ รุ้ง ปนัสยา ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมยิ่งไม่พอใจ กลับมารวมตัวชุมนุมกันด้วยจำนวนที่มากกว่าเดิม ที่แยกราชประสงค์ในวันที่ 15 และแยกปทุมวันในวันที่ 16 แม้จะมีแกนนำสำคัญเหลือเพียงคนเดียวคือ ไมค์ ระยอง ซึ่งวันต่อมาก็ถูกจับกุม
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตอนตีสี่ของวันที่ 15 ตุลาคม 2563 นับเป็นก้าวแรกแห่งความผิดพลาดของรัฐบาลในการควบคุมการชุมนุม เพราะภาพใหญ่ของการชุมนุมเวลานั้นเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นเสรีภาพที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อาจารย์ทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ รวมทั้งนักกฎหมายจำนวนไม่น้อยถึงกับออกมาคัดค้านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงครั้งนี้ ว่าน่าจะเป็นการออกกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายที่ใหญ่กว่า
วันที่ 16 ตุลาคม เป็นวันที่รัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดอีกครั้งด้วยการใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดน้ำผสมสารเคมีสลายการชุมนุม ยังผลให้เกิดการชุมนุมแบบดาวกระจาย 3-4 แห่งพร้อมๆ กันในกรุงเทพฯ และอีกหลายๆ แห่ง ในหลายจังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศในวันต่อๆ มา เป็นการชุมนุมแบบไม่ต้องมีแกนนำ แต่กลับมีผู้ร่วมชุมนุมมากกว่าเดิม และมีพลังกว่าเดิม
ว่ากันตามจริงแล้ว การชุมนุมเรียกร้องของเยาวชนกลุ่มนี้ โดยภาพรวมเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ แกนนำก็ย้ำกับผู้ชุมนุมทุกครั้งในเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ว่าระหว่างการชุมนุมแทบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของฝ่ายไหน อาจมีผู้ชุมนุมบางคนบางกลุ่มกระทำอะไรบางอย่างที่เกินเลยไป
ในการชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม ก็เช่นกัน ผู้ชุมนุมบางส่วนได้แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมขณะขบวนรถพระที่นั่งของสมเด็จพระบรมราชินีกำลังแล่นผ่าน เรื่องนี้หากรัฐบาลเลือกที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่จาบจ้วง รัฐบาลก็จะยังสามารถกุมสถานการณ์ได้ เพราะการจาบจ้วงได้เกิดขึ้นแล้วจริง
แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลกลับเลือกที่จะขยายความขัดแย้งจากการกระทำของผู้ชุมนุมกลุ่มเล็กๆ ไปเล่นงานผู้ชุมนุมทั้งหมดที่เขาชุมนุมตามสิทธิอย่างสงบปราศจากอาวุธ ไปออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตอนตีสี่ของวันที่ 15 แล้วไล่จับแกนนำขณะเขากำลังยุติการชุมนุม ไปสลายการชุมนุมด้วยรถฉีดน้ำผสมสารเคมี ในคืนวันที่ 16 ทำให้ม็อบที่มีแกนนำ มีคนเข้าร่วมแต่ละวันไม่มาก กลายเป็นม็อบที่ไร้แกนนำที่เป็นทางการ แต่ทุกคนพร้อมลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เข้าตำรา “สถานการณ์สร้างวีรชน”
การเปลี่ยนท่าทีแบบประนีประนอมมาเป็นท่าทีสุดโต่งแบบขวาจัดที่ผู้ปกครองเผด็จการเคยใช้กับกลุ่มผู้ชุมนุมในอดีต ทำให้การชุมนุมกลับมีพลังมากขึ้น ไม่เพียงเยาวชนนักเรียนนักศึกษาที่พร้อมใจกันเข้าร่วมชุมนุมแบบไม่กลัว พรก. ฉุกเฉินฯ แล้ว แพทย์จำนวนหนึ่ง และศิลปินดาราอีกจำนวนหนึ่งซึ่งปกติจะระมัดระวังไม่แสดงท่าทีทางการเมือง ต่างพากันออกมาแสดงความเห็นใจผู้ชุมนุมและคัดค้านการใช้ความรุนแรงต่อการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธโดยเฉพาะเมื่อผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ทำให้การชุมนุมที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ชุมนุมกันโดยสงบ เปลี่ยนมาเป็นการชุมนุมที่มีความคับแค้นใจพร้อมจะปะทะกับเจ้าหน้าที่มากขึ้น และจาบจ้วงสถาบันยิ่งขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าเวลานี้ ผู้ชุมนุมเหล่านั้นไม่กลัว พรก. ฉุกเฉินฯ และ ไม่กลัว มาตรา 112 แล้ว
ล่าสุด มีข่าวว่ามีการจัดตั้งกลุ่มประชาชนหลายกลุ่มออกมาปกป้องสถาบัน และมีท่าทีว่าอาจมีการปะทะกับกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่ชุมนุมกันโดยสงบ
ถ้าโมเดลขวาจัดแบบ 6 ตุลา กลับมาอีก ก็นับว่าน่าเศร้ามาก
เพราะคนตายได้ แต่อุดมการณ์นั้นตายยาก
หากเกิดสถานการณ์ที่ประชาชนสองฝ่ายฆ่าฟันกัน แล้วมีการรัฐประหาร บอกได้เลยว่าผู้ก่อการรัฐประหารก็จะอยู่ลำบาก จะไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา เพราะผู้ที่พร้อมจะใช้ความรุนแรงนั้นมีแฝงอยู่ในทั้งสองฝ่าย
การต่อสู้บนท้องถนน จะลงใต้ดิน และขยายไปต่างประเทศ
ชะตากรรมประเทศเรา จะวนเวียนกันอยู่แบบนี้ ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่าจริงๆ หรือ ?
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
21 2563
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี