ปกติแล้วหลังเทศกาลขอบคุณพระเจ้า พลเมืองอเมริกันก็ซอยเท้ารอจับจ่ายใช้สอยช่วงก่อนคริสต์มาส ห้างร้านทั้งหลายเต็มไปด้วยผู้คน แต่ในช่วงโควิดระบาด เงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ทุกห้างต้องมีบริการเสริมคือส่งตรงถึงบ้าน หรือให้จอดรถตรงบริเวณที่กำหนดไว้ แล้วส่งข้อความหรือโทรเรียกพนักงานให้เอาของมาส่ง จากนั้นก็แบกข้าวของกลับบ้านไปทำความสะอาดกันเอง แต่เชื่อเถอะว่าอเมริกันร้อยละ 99 ไม่เคยทำความสะอาดด้วยการเช็ดสิ่งของที่ซื้อมาด้วยกระดาษเปียกฆ่าเชื้อแบบหมู่เฮาชาวไทย
การซื้อของไม่ว่าจะเป็นของกินทั้งสดแห้ง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บังเอิญให้สิ้นใจในหน้าที่อันจำเป็นต้องซื้อใหม่ ผู้เขียนใช้วิธีสั่งออนไลน์ แล้วไปเปิดท้ายรับสิ่งของเหล่านั้น โดยใช้ระบบใบเสร็จออนไลน์ จะได้ไม่ต้องจับต้องอะไร บอกตรงๆ ว่าคิดถึงการเดินเข้าไปเลือกซื้อข้างของในห้างมาก แต่ไม่กล้าเสี่ยงต่อการติดโรค
เมื่อขับรถกลับถึงบ้าน ก็เอากระดาษเปียกเช็ดบริเวณท้ายรถก่อนเปิด เปิดมาเจอถุงพลาสติกหูหิ้วที่ใส่ของสดของแห้ง ก็สเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อให้ทั่ว เน้นตรงหูหิ้ว ใส่ถุงมือแล้วล้วงทุกสิ่งอย่างออกมาเช็ดด้วยกระดาษเปียกฆ่าเชื้อโรค จากนั้นก็เอาไปผึ่งในบ้านให้แห้ง ก่อนนำไปเก็บ บอกเลยว่าเหนื่อยมาก
ชีวิตแบบนี้แสนทรมาน ไม่ได้มีความสุขแต่อย่างใด รัฐที่อยู่อากาศหนาวจัด การยืนเช็ดของหน้าบ้านท่ามกลางอุณหภูมิ 0 เซลเซียส หรือ 3 เซลเซียสนั้นนรกชัดๆ แต่ก็ต้องทำ ทำอยู่อย่างนี้มาเกือบปี ไม่เคยได้กินอาหารนอกบ้าน หรือไปเที่ยวไหนทั้งนั้น หากเทียบกับคนไทยในเมืองไทย ก็สารภาพตรงๆ ว่าอิจฉามากที่ไปเที่ยวกันได้อย่างเสรี ไม่ต้องกลัวโควิด
ขนาดป่วย 15 ล้าน ตายไปเกือบสามแสน พลเมืองอเมริกันในเมืองที่ผู้เขียนอยู่ ยังด่าทอกันเรื่องการใส่หน้ากาก ด่ากันไม่จบไม่สิ้น อ่านเพจข่าวในเมืองทีไร ละเหี่ยใจทุกหน ยอดป่วยใหม่รายวันพุ่งไปวันละสองแสนราย ส่วนยอดตายรายวันพุ่งไปวันละสองพันเจ็ดร้อยกว่าราย บางวันก็สามพันกว่าราย
นพ.โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคของอเมริกา (ซีดีซี) ประกาศปังดังลั่นว่า ระบบดูแลสุขภาพของอเมริกาใกล้ถึงจุดล่มสลาย ห้ามอะไรขอร้องอะไรก็ไม่ฟังกันเลย อ้างเสรีภาพโน่นนี่นั่น ขอร้องไม่ให้เดินทางไม่ให้บินกลับไปรวมตัวกันในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ก็ไม่มีอเมริกันคนไหนเชื่อฟัง บินกันให้ควั่ก จนติดโรคกันกระหน่ำ
นาทีนี้โรงพยาบาล 90% ถูกระบุเป็นพื้นที่อันตราย หมอโรเบิร์ต เรดฟิลด์ยังสำทับว่า นับจากเดือนนี้ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าจะเป็นช่วงที่เรียกได้ว่า “โหดสุด” คนจะตายกันเกลื่อนเหมือนใบไม้ร่วง เดี๋ยวนะ หมอ..ทุกวันนี้ยังร่วงกันไม่พออีกเหรอ สอดคล้องกับสถาบันชี้วัดและประเมินผลด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยวอชิงตันคาดว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมของอเมริกาอาจพุ่งขึ้นเป็นเกือบ 450,000 คนในวันที่ 1 มีนาคม
มาดูยอดป่วยสะสม ยอดตาย นาทีนี้กัน ยอดป่วยสะสม 15 ล้านสามแสนกว่าๆ ตายไปสองแสนเก้าหมื่นกว่า แต่อาทิตย์ที่ผ่านมา อเมริกาเร่งทำยอดตายจนพุ่งไป 3,157 ราย ไม่ต้องรีบก็ได้นะ ไม่มีใครแย่งตำแหน่งเจ้าโรคไปหรอก
รัฐที่มีคนป่วยมากสุด 5 อันดับคือ แคลิฟอร์เนีย เท็กซัส ฟลอริด้า อิลลินอยส์ และนิวยอร์ก จะว่าไปแล้วรัฐ 5 อันดับนี้ยืนหนึ่งมาตลอด ผลัดกันแซงด้านหายนะ โซนที่น่าเป็นห่วงหนักสุด นอกเหนือจากรัฐทั้งห้าคือ โซนมิดเวสต์ มิชิแกน โอไฮโอ อินเดียน่า เห็นตัวเลขผู้ป่วยที่พุ่งพรวดขึ้นแล้วปากอ้าตาค้าง ขนาดในชุมชนเล็กๆ ขนาดเล็กกว่าอำเภอที่ผู้เขียนอยู่ ยังป่วยกันสองหมื่นกว่าคน ตายไปสามร้อย พลเมืองมีแค่แสนเดียวเอง ป่วยตั้งสองหมื่นคนเข้าไปแล้ว คนไทยในประเทศไทยภุมิใจเถอะ ที่รัฐบาลนี้สามารถควบคุมโควิดได้ผล
ขนาดป่วยกันเพียบ ยังมีคนเห็นแก่ตัวเป็นข่าวทุกวัน ล่าสุด ผัวเมียมะกันคู่หนึ่งฝ่าฝืนคำสั่งห้ามขึ้นเครื่องบินของเจ้าหน้าที่ เพราะทั้งคู่ติดโควิด แทนที่จะกักตัว ทั้งคู่หาได้แคร์สนสีสนแสดอันใด บินออกจากสนามบินซานฟรานซิสโกกลับฮาวาย พอลงเครื่องปุ๊บ ตำรวจรวบตัวทันที พร้อมตั้งข้อหาประมาทเลินเล่อจนอาจเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น โดยทำผู้โดยสารร่วมเที่ยวบิน “เสี่ยงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต”
ตอนนี้หนักสุดคือที่แคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะแถวแอลเอ เลยมีการขยายพื้นที่ล็อกดาวน์ควบคุมเกือบทั้งรัฐ จัดหนักจัดเต็มด้วยการออกประกาศให้ปิดธุรกิจ ห้ามการรวมกลุ่มสังสรรค์กับคนนอกครอบครัว มีผลทันทีเมื่ออาทิตย์ผ่านมา ยาวไปจนถึงปลายปี นั่นหมายถึงไม่มีการกินอาหารจัดงานเลี้ยงช่วงคริสต์มาสเป็นกลุ่มใหญ่
บางเคาต์ตี้ในแคลิฟอร์เนีย ไม่รอคำสั่งรัฐ แต่จัดการตัวเองด้วยการล็อคดาวน์ ให้ทุกคนอยู่ในบ้านลากยาวไปจนถึงหลังปีใหม่
หากถามผู้เขียนว่านาทีนี้อยากได้อะไรเป็นของขวัญคริสต์มาสมากที่สุด ก็อยากจะอ้อนวอนซานตาครอสว่า
“ขอวัคซีนให้มาก่อนกำหนดเถอะ”
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ประธานที่ปรึกษาด้านการพัฒนาวัคซีนต้านโควิดของคณะบริหารสหรัฐฯ เตรียมพบทีมงานของโจ ไบเดนเพื่อหารือเกี่ยวกับโปรแกรมแจกจ่ายวัคซีน คาดการดำเนินชีวิตจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม
นั่นหมายถึงต้องผจญชะตากรรมอันเลวร้ายอีก 6 เดือนเต็มนับจากนี้ ฤดูหนาวปีนี้คือเป็นฤดูหนาวอันยาวนานสำหรับอเมริกันทั้งประเทศ
....................................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี