ถ้าไม่มีการยึดอำนาจ ล้มกระดานการเมืองในระบบเลือกตั้ง การเลือกตั้งทั่วไปก็คงมาถึงอีกไม่นานและเมื่อคาดการณ์กันว่า การเลือกตั้งกำลังจะมาถึง เรื่องแปลก ๆ ปรากฏการณ์แปลก ๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จนกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
อาทิ นายกรัฐมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ ช่วยว่าการ หัวหน้าพรรคการเมือง และนักการเมืองระดับผู้มีอิทธิพล ที่เคยอยู่อย่างยิ่งใหญ่ คับทำเนียบ คับกระทรวง และคับพรรคของตน ต่างทยอยกันลงพื้นที่พบปะประชาชนประหนึ่งเป็นห่วงเป็นใยชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่ตนไปพบเสียเหลือประมาณ
ไม่เคยไหว้ใครก่อน ก็ต้องรีบยกมือไหว้ บางคนลงทุนพักค้างอ้างแรมในบ้านของชาวบ้านเลยก็มี
เรื่องแปลกที่ไม่แปลกอีกเรื่องก็คือ การหลับหูหลับตาปกป้องฝ่ายตนและโจมตีฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างเช่น กรณี น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โจมตีนายทักษิณที่ออกมาชี้นำพรรคเพื่อไทย และนางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้ปกป้องพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ
กรณีนี้ควรเป็นเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นประจำจนไม่แปลกเหมือนเรื่องอื่น ๆ ถ้าไม่มีคำพูดประโยคหนึ่งของนางกุสุมาลวตี ที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องแปลกแต่จริง คำพูดประโยคที่ว่านี้ก็คือ
“คำกล่าวหาว่าเป็นนักโทษหนีคดีก็เป็นวาทกรรมที่สร้างมาเพื่อทำลายนายทักษิณ”
ครับ, ตามรายงานข่าว นางกุสุมาลวตีพูดเช่นนี้จริง ๆ
ผมจึงว่านี่เป็นเรื่องแปลก เป็นเรื่องแปลกที่ไม่ธรรมดา เป็นเรื่องแปลกแต่จริง !
นางกุสุมาลวตีผู้อยู่ในวงการเมืองเป็น ส.ส. มหาสารคาม มาแล้วถึง 3 สมัย ไม่รู้เลยหรือว่านายทักษิณเป็นนักโทษหนีคดี ?
นางกุสุมาลวตีคิดว่านี่เป็นวาทกรรมที่แต่งขึ้นเพื่อทำลายนายทักษิณอย่างนั้นจริงหรือ !?!?!
แปลกแต่จริงอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ เรื่องการหาเสียงของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคสร้างอนาคตไทย ที่เน้นการโจมตีรัฐบาลเก่าด้วยการยกประเด็นความย่ำแย่ทางเศรษฐกิจในอดีตมาหาเสียง
ที่ว่าแปลก เพราะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในอดีตนั้น แยกไม่ออกจากฝีมือการบริหารเศรษฐกิจของนายสมคิดเกือบทั้งสิ้น
ในอดีต นายสมคิด เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีบทบาทดูแลเศรษฐกิจในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่เกือบ 5 ปี ก่อนหน้านั้นในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร นายสมคิดก็เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อยู่เกือบ 4 ปี แถมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อีก 1 ปี
ต้นปี 2560 สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ นายสมคิด ผู้เก่งกาจในการทำการตลาด ได้ปลุกกระแส ไทยแลนด์ 4.0 จนใครต่อใครเอาไปใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแบบรู้บ้างไม่รู้บ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ปลายปีนั้นนายสมคิดก็ออกมาประกาศอีกว่า ปี 2561 คนจนจะหมดประเทศ
สุดท้ายเป็นอย่างไร เมืองไทยปี 2561 มาจนทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้ถือบัตรคนจนอีกกว่า 13 ล้านใบ ถ้านับรวมคนจนที่ยังไม่มีบัตร ตัวเลขจะอยู่ราว ๆ 20 ล้านคน
นายสมคิดคงลืมไปกระมังว่า ที่ตนเองหาเสียงโจมตีผลงานทางเศรษฐกิจในอดีตนั้น เกือบทั้งหมดมาจากฝีมือของนายสมคิดแทบทั้งสิ้น
เช่นนี้แล้ว จะไม่ให้แปลกได้อย่างไร !
แปลกแต่จริงอีกเรื่อง เป็นเรื่องราวในวงการเมืองอีกเช่นกัน
เรื่องคนโกงหนีคุกหนีคดี ใช้อำนาจเงินคุมพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ซื้อได้ใช้คล่อง เราเห็นมากว่าสิบปีแล้ว จนไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
เอาคนเอ๋อ ๆ มาเป็นผู้นำ ให้คนในพรรคสนับสนุนก็ทำแล้ว เอานักการเมืองคร่ำหวอดทั้งหัวหงอกหัวดำมาเดินตามหลังก็ทำให้เห็นแล้ว จนไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป อย่างน้อยแม้นางจะเอ๋อไปบ้าง แต่นางก็ไม่ใช่เด็ก และก็ยังพอมีประสบการณ์บริหารธุรกิจของตระกูลมาบ้าง
ที่แปลกก็คือ การที่นักการเมืองคร่ำหวอดทั้งหัวหงอกหัวดำ บางคนเล่นการเมืองมานับสิบปี บางคนเล่นการเมืองมาทั้งชีวิต ยอมยืนกุมเป้ากางเกง ก้มหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ยืนเป็นลูกทีมให้เด็กเมื่อวานซืนยืนปราศรัยกับมวลชนในฐานะหัวหน้าครอบครัวคนใหม่เพราะพ่อมันรวย เงินมันหนา นี่ซี ผมว่าแปลก !
แปลกที่เห็นคนเหล่านั้น มันขายศักดิ์ศรีได้ถึงขนาดนี้ !
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
๒๕ กันยายน ๒๕๖๕
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี