ความจริงกับความเท็จ ของณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ
นับตั้งแต่นายจตุพร พรหมพันธ์ คนที่เคยรับใช้ทักษิณ ชินวัตร ออกมาเปิดโปงถึงพฤติกรรมอันเลวร้ายของทักษิณ บรรดาคนที่เคยรับใช้ทักษิณ ประเภทกระจอกงอกง่อย ไม่มีอันดับ ออกมาตอบโต้บ้าง เป็นต้นว่า ทรยศ หักหลัง ไม่รู้บุญคุณ
ไม่มีสักรายที่ออกมาตอบโต้ในปัญหาข้อเท็จจริงเลยแม้สักรายเดียว ไม่ว่าจะเป็นกรณีการนิรโทษกรรมให้กับประชาชน ที่ออกมาเคลื่อนไหวช่วงพฤษภาคม 2552 - 2553 ซึ่งในที่สุดกลายเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย การทุจริตกรณีจำนำข้าวที่ไม่ฟัง ปปช. ที่ออกมาเตือน จนนำไปสู่การดำเนินคดี การทรยศหักหลังลูกน้องระดับรัฐมนตรี ทั้งที่พวกเขาเตรียมการไว้แล้วจะหนีคุก เช่นเดียวกับทักษิณ ความพยายามที่จะให้เกิดความรุนแรงขึ้นจากการชุมนุม เพราะเจ้าของเวทีการชุมนุมคือ ทักษิณยังไม่ได้อะไร ฯลฯ
ผมได้พูดไว้แล้วว่า ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ที่ติดตามสถานการณ์บ้านเมือง ที่ไม่ทำตัวเป็นขี้ข้าทักษิณ ต่างก็รู้ต่างก็ตระหนัก พูดและเขียนออกมาแล้ว เป็นเวลานับสิบปี
คำพูดของจตุพรมีประโยชน์ ก็ตรงที่ทำให้ประชาชนทั่วไปรวมทั้งคนที่มืดบอดอยู่ได้คิด ได้ตระหนัก
ไอ้ที่สงสัยว่า จำนำข้าวมันขาดทุนยังไง มันทุจริตกันยังไง ถ้ายังโง่ดักดาน ก็จะได้หายโง่ด้วยการหาคำพิพากษาของศาลฎีกามาอ่าน รวมทั้งคดีหวยบนดิน คดียึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท จะย้อนไปถึงคดีรัชฎาฯ ซึ่งเป็นคดีแรกที่ทักษิณมันต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ขณะนี้ (แม้คดี ที่ดินรัชฎาฯ จะหมดอายุความแล้ว ก็มีคดีอื่นอีก)
มันเป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายประชาธิปไตย มันมาจากการเลือกตั้งที่ลุแก่อำนาจ ไม่สนใจตัวบทกฎหมาย เพราะมันถือว่ามีเสียงประชาชนสนับสนุน
นี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญนะครับ
กลับมาข้อเท็จจริงที่จตุพร พรหมพันธ์ พูด
คำพูดของจตุพร นอกจากเป็นการลากไส้ทักษิณที่มีอยู่กี่ขดต่อกี่ขดมาให้ชาวบ้านเห็นแล้ว ย่อมกระทบต่อพรรคเพื่อไทย ที่ทักษิณเป็นเจ้าของ แรกทีเดียวก็หวังว่า ผลการเลือกตั้งจะชนะถล่มทลาย สามารถนำทักษิณกลับบ้านได้
พรรคเพื่อไทยก็อาจจะชนะอย่างที่คาด และก็ไม่แปลกสมัยนังเอ๋อผู้เป็นอาก็ชนะมาแล้ว หลานจะชนะอีกก็จะเป็นไรไป
ก็อย่างที่ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ซึ่งตระเวนหาเสียงกับพรรคเพื่อไทย ถามว่าทำไมนายน้อยของเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ บ้านเมืองที่เดินไปตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อประชาชนเสียงข้างมากเลือก ก็ต้องเป็นนายกรัฐมนตรี
เออ ถูกของมัน ได้เสียงข้างมากก็จัดตั้งรัฐบาลไป อย่างที่มันเคยประจบยิ่งลักษณ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีไปจนเบื่อ และเอามันเป็นรัฐมนตรีร่วมด้วย
จตุพรกับณัฐวุฒิ ต่างก็เป็นขี้ข้าม้าใช้ของทักษิณ แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่า ใครซ้ายใครขวา ต่างกันตรงที่คนหนึ่ง ใจสลาย เสียแล้ว เพราะถูกดูแคลนความเป็นมนุษย์ คนหนึ่งจึงรับใช้อยู่ คนหนึ่งจึงถอยออกมา
ถามว่าข้อเท็จจริงที่จตุพรเอามาพูด มีหรือที่ณัฐวุฒิ จะไม่รู้ ไม่ตระหนัก ไม่เข้าใจ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูด จะหวานอมขมกลืนต่อไป หรือไม่อย่างไร
ในฐานะทหารเอกของพรรคเพื่อไทย ที่อย่างน้อยที่สุดตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ หรืออาจจะได้ขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการ ตอบคำถามนักข่าว ถึงการที่จตุพรออกมาลากไส้ทักษิณ ณัฐวุฒิบอกว่า “พรรคจะไม่ขยายความขัดแย้ง” คือไม่พูด ไม่ตอบโต้ต่างจากที่พูดน้ำไหลไฟดับ บนเวทีหาเสียง
เพราะอะไร เพราะหาเสียงนั้น ท่องให้ได้ว่า รักพี่น้องประชาชน จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีประชาธิปไตย ค่าแรง 600 บาทก็จะได้ ปริญญาตรีก็จะได้ 25,000 บาท ในปี 2570
คือหลังจากที่มันเป็นรัฐบาลครบเทอมแล้ว (เพราะมันอยู่แค่ 4 ปี อยากได้ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท อยากได้เงินเดือน 25,00 บาท เมื่อจบปริญญาตรีต้องเลือกมันมาเป็นรัฐบาลอีกสมัย)
มันพูดคล่องปากเพราะมันไม่รับผิดชอบ
จำที่มันตอบคำถามวันที่มันนั่งกับบุญทรง แถลงข่าวเรื่องข้าวได้ไหมละครับ ที่เคยพูดคล่อกๆ น่ะ มันยกกาแฟมาจิบแก้เขินกี่ครั้ง
เอาความจริงมันก็ไม่เนียน ไม่คล่อง
ให้มันมาแก้ตัวแทนทักษิณในสิ่งที่มันรู้อยู่เต็มอกหรือ
เกินสติปัญญาของมันละครับพี่น้อง !
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี