“นาโปลี” เป็นเมืองหลักของแคว้นคัมปาเนีย และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสามของอิตาลีรองจากโรมและมิลานได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นแหล่งมรดกโลก ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน นาโปลีเคยมีฐานะเป็นเมืองหลวงของดัชชีและอาณาจักรต่าง ๆ มากมาย

นาโปลีได้รับการบันทึกเป็นเมืองที่เริ่มมีการทำพิซซ่าขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงศตวรรษที่ 10 โดยมีในบันทึกเอกสารภาษาละติน ณ เมืองกาเอตา (Gaeta) ทางตอนใต้ของอิตาลีพิซซ่าสมัยใหม่ได้ถูกคิดประดิษฐ์ขึ้นที่เมืองเนเปิลส์ ต่อมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายกลายเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมที่สุดในโลกและเป็นรายการอาหารจานด่วนที่หากินได้ทั่วไปในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ แม้แต่ในเอเชีย โดยหาได้ง่ายทั้งในร้านที่ขายพิซซ่าโดยเฉพาะ (Pizzerias) ในภัตตาคารอาหารตะวันตกทั่วไป หรือในรูปแบบใส่กล่องจัดส่งถึงบ้าน

กล่องพิซซ่า

กล่าวคือสมัยเมื่อปีภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดขึ้นทลายเมืองปอมเปอีทั้งเมือง ต่อมาประมาณ ค.ศ. 640ได้พบเตาฟืนโบราณจำนวนมากในซากปรักหักพังของเมืองที่ถูกลาวาถล่ม หนึ่งในจำนวนเตาทั้งหมดนั้นพบว่ามีเถ้าถ่านขนมปังติดอยู่ในเตาอยู่ถึง 7 กิโลกรัม จึงเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าทหารโรมันในช่วงเวลานั้นต่างกินขนมปังที่อบจากเตาฟืน จึงสันนิษฐานได้ว่าชาวเมืองนาโปลีก็กินขนมปังที่อบในเตาฟืนโบราณเช่นนี้มาประมาณ 700 ปีแล้ว ต่อมาในต้น ค.ศ. 1700 ชาวเมืองนาโปลีจึงได้เริ่มประยุกต์ใส่มะเขือเทศกับสมุนไพรบางอย่างลงในขนมปังแล้วนำไปอบในเตาฟืนโบราณ นี่เองคือจุดเริ่มต้นของมารีนาราพิซซ่า และร้านพิซเซอเรียร้านแรกในนาโปลี

ขนมปังอภินันทนาการ

            เมื่อมาถึงร้าน Bella Napoli สุขุมวิท 31 ได้กลิ่นอายสไตล์อิตาเลียน หลังจากสั่งอาหารเสร็จ พนักงานยกตะกร้าขนมปังกับเครื่องปรุงรสเกลือ พริกไทย Origano น้ำมันมะกอก น้ำส้ม Balsamic สำหรับเรียกน้ำย่อย เมื่อชิมความหอมและเนื้อขนมนุ่มจนท้องไส้ร้องอุทธรณ์

สลัดผักร็อคเก็ต

             สลัดแบบเรียบง่ายสไตล์อิตาเลียน เหยาะน้ำมันมะกอก ให้ได้ความสดชื่นจากผักและมะเขือเทศสด วางเนยแข็งพามาซานหั่นหนาช่วยความมีชีวิตชีวาของจานสลัดที่ราดน้ำสลัดน้ำใสรสลงตัว

กุ้งทอดและหมึกทอด

            ชุบแป้งทอด เหมือนจะเป็นจานธรรมดาหากินที่ไหนก็มีแม้แต่ร้านไทย-จีน หลังจากบีบน้ำมะนาวเลมอนราดทั่วแล้วลองชิม ต้องอุทานว่าไม่ธรรมดาเลย ประการแรกคือเนื้อกุ้งหมึกสดมาก อีกประการหนึ่งคือได้กลิ่นเครื่องเทศจางๆ แป้งกรอบแบบไม่ใช่แป้งกรอบสำเร็จรูปทั้งหลาย หยิบกินหมดจานแบบไม่รู้ตัว

Cold cut Mixed Salami

            โคลด์คัท มักจะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อไก่งวง ส่วนใหญ่มีผักผลไม้ยอดฮิตประดับเช่น องุ่น เบอร์รี่กีวี ส้ม มะเขือเทศ มะกอก เซเลอรี (ขึ้นฉ่ายฝรั่ง) แถมยังเสิร์ฟชีสหลากชนิด เช่น โปรโวโลเน เปโกรีโน (ชีสนมแกะ) บลูชีส ชีสมอสซาเรลล่าและครีมชีส ซึ่งมีเนื้อสัมผัสแตกต่างกันเรียกจานนี้ว่า Antipasto พร้อมกับ ซาลามี และพรอสชุตโต พาร์ม่าแฮม เป็นต้นตามแต่วัตถุดิบที่มี

เตาอบพิซซ่า

อีกประมาณร้อยปีต่อมา (นับจาก ค.ศ. 1700) ชีสเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในอาหาร ซึ่งไม่ใช่ชีสปกติธรรมดาทั่วไป เป็นชีสที่ทำจากน้ำนมควายพื้นเมือง (มอสซาเรลล่าชีส) เมื่อสุกเดือดแล้วเป็นยางยืดเหนียวที่เราเคยชิน

พิซซ่ากับเตาฟืนจากโบราณกาล

จานขึ้นชื่อของที่นี่ก็ต้องเป็นพิซซ่า แต่ไม่ใช่พิซซ่าเตาอบธรรมดา เพราะใช้เตาฟืนในการอบบางท่านสงสัยว่าทำไมการใช้เตาฟืนจึงพิเศษทั้งนี้เพราะช่วยให้อาหารสุกไว อบอาหารได้เร็ว กรุ่นกลิ่นที่หอมของควันไม้อันเป็นเอกลักษณ์ และสารอาหารของวัตถุดิบยังคงอยู่ครบ เพราะไม่ต้องสัมผัสความร้อนนานเกินไปผนังแต่ละชั้นของเตานี้ควบคุมอุณหภูมิได้ง่ายคุมความร้อนได้ดีและในทางกลับกันก็ระบายความร้อนได้ดีเช่นกันจึงทำให้เป็นร้านระดับตำนานที่ครองใจใครหลายคนมานานนับสิบปี จึงขอนำมาบอกต่อ เผื่อใครกำลังมองหาร้านพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนแท้ เครื่องแน่นชีสหนา บรรยากาศอบอุ่น สำหรับมื้อพิเศษกับครอบครัว เพื่อนฝูงและคนรู้ใจ

การใช้เตาฟืนอบอาหารเป็นภูมิปัญญาที่ส่งต่อกันมาจนถึงในปัจจุบัน โดยเฉพาะในอิตาลีที่ใช้อบอาหารที่ลักษณะคล้ายกับพิซซ่าในปัจจุบันในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 พิซซ่าแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ถือกำเนิดขึ้นที่เมือง Naples หรือ Napoli ทำให้เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองต้นกำเนิดพิซซ่า เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น มีการพัฒนาเตาอบไฟฟ้าหลากหลายอย่างไรก็ตามเสน่ห์ของการใช้เตาฟืนอบอาหารนั้นหอมไม่จางหาย

พิซซ่าแปดหน้า

การมาเยือนร้าน Bella Napoli ที่ได้ชื่อว่าเป็นร้านพิซซ่าอบเตาฟืนร้านแรกของกรุงเทพฯ เพราะย้อนกลับไปสมัย 20 ปีที่แล้ว ร้านอาหารอิตาเลียนที่ทำพิซซ่าแบบอิตาลีจริงๆ ยังมีไม่เยอะนัก และร้านที่ใช้เตาฟืนนั้นไม่มีเลยในกรุงเทพฯ เป็นที่มาของร้านที่อยากนำความเป็นต้นฉบับของการอบด้วยเตาฟืนมาสู่กรุงเทพฯ และร้านเลือกเอาชื่อเมือง Napoli ที่เลื่องชื่อเรื่องพิซซ่ามาตั้งเป็นชื่อร้าน เพื่อบ่งบอกว่าพิซซ่าที่นี่เป็นสไตล์ต้นตำรับอบถาดต่อถาด พอรับรายการสั่ง จึงจะเริ่มทำตั้งแต่การควงแป้งให้เป็นแผ่นบางๆ ทาซอส ใส่เครื่องต่างๆ แล้วนำไปอบในเตาฟืนรอไม่นานพิซซ่าก็มาเสิร์ฟ

Pizza Venice a brigde

แป้งพิซซ่าของร้านนี้ไม่หนาหรือบางจนเกินไป กรอบกำลังดี มีให้เลือกหลากหลายหน้าทั้งผัก เห็ด ไส้กรอก เนื้อสัตว์ต่างๆหนึ่งในหน้าที่ขึ้นชื่อลือชาคือ Pizza Venice a brigde ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสะพานข้ามคลองใน Venice นครแห่งสายน้ำของอิตาลี หน้าพิซซ่าเป็นซอสมะเขือเทศ ชีส Ricotta กับ Mozzarella ใส่ผัก rocket กับ Parma ham ลงไป การจัดหน้าพิซซ่าจะทำให้คล้ายกับสายน้ำในคลองของ Venice มีจุดเด่นคือ สะพานที่ทำจาก Parma ham ดูอลังการมาก ถาดหนึ่งให้ถึง 8 ชิ้นใหญ่ เหมาะกับการแบ่งกันกินถ้ามากัน 2 – 3 คนขึ้นไป

Spaghetti Truffle

            พาสต้าที่สั่ง ไม่ว่าจะเป็นพาสต้าอะไรก็ตามเขาจะอบมาในหม้อดิน เอาแป้งแผ่นกลมปิด (คล้ายกับแป้งเครป) แล้วเข้าเตาอบอีกครั้ง เวลาเสิร์ฟก็มาทั้งแป้งที่ปิดหน้า มาเปิดให้เราเห็นบนโต๊ะ จึงโรยหน้าด้วยชีสพามาซานโชว์เป็นอันมาก จนได้กลิ่นหอมทรัฟเฟิลของพาสต้าโชยฉลุย เรียกว่าเป็นลูกเล่นของร้านจะดีกว่า เพราะในอิตาลีเองก็ไม่ได้มีการเสิร์ฟพาสต้าลักษณะนี้เป็นเรื่องเป็นราวนักระดับความสุกที่ชาวอิตาเลียนนิยมไม่ได้ลวกจนนิ่มแบบที่หลายคนชอบกิน ทำให้เส้นยังคงความหนึบอยู่เล็กน้อย เวลากัดเคี้ยวจะได้ความเด้งสู้ฟันนิดหน่อย ต้มมาได้ความสุกอย่างที่ชาวอิตาเลียนเรียกว่า Al Dante

Tiramisu

แต่แรกเมื่อยังโง่อยู่พอได้ยินชื่อขนมนี้ มีชื่อคล้ายสำเนียงญี่ปุ่น ยังนึกในใจว่าขนมญี่ปุ่นพลัดหลงมาอยู่ในรายการอาหารอิตาเลียนได้ยังไง ต่อมาทุกครั้งที่มาร้านอิตาเลียนมักปิดท้ายด้วยของหวานTiramisu ที่ทางร้านทำเอง ชิ้นขนาดกำลังดี ด้วยการเอาขนมปังฟิงเกอร์บิสกิตแช่ลงไปในกาแฟเอสเปรสโซรสเข้มจนชุ่มฉ่ำ เรียงซ้อนสลับกับไข่แดง น้ำตาล และชีสมาสคาร์โปนจากนั้นโรยหน้าด้วยผงโกโก้เป็นอันมากเค้กจะส่งรสชาติเข้มของกาแฟออกมา ได้รสหวานผสมกัน พอดีกินล้างปากปิดท้ายได้ลงตัว

ไอศกรีมเจลาโต

            เจลาโตคือไอศกรีมตำรับอิตาเลียนส่วนผสมหลักทำจากนมในสัดส่วนที่มากกว่าครีม โดยมากจะหลีกเลี่ยงการใช้ไข่แดง ให้เหลือไขมันอยู่เพียงระหว่าง 5-7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  เจลาโตปั่นด้วยความเร็วที่ช้ากว่าไอศกรีม จึงทำให้มีความหนาแน่นมากกว่า และเนื่องจากมีอากาศแทรกอยู่ในส่วนผสมน้อยกว่าไอศกรีม (เจลาโตมีอากาศประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์) จึงทำให้การขึ้นฟูน้อย เนื้อเนียน และหนืดกว่า ทำให้ลิ้มรสชาติของวัตถุดิบได้มากขึ้น และมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มเนียน อันเป็นวัฒนธรรมที่เจลาโตมักจะนิยมนำเอาวัตถุดิบที่เน้นความสดใหม่มาทำ

            คงเป็นความผิดพลาดถ้ามาถึงร้านอิตาเลียนทั้งทีแล้วไม่ตบท้ายให้ความสดชื่นจากเจลาโต ที่นี่มีรสชาติมากกว่า 15 รส หายห่วงว่าร้านระดับนี้แล้วจะปั่นเจลาโตไม่อร่อย

บรรยากาศในร้าน

บรรยากาศในตัวร้านให้ความรู้สึกอบอุ่น จากการแต่งร้านด้วยเฉดสีได้กลิ่นอายความเก่า ที่ผนังมีบทความรีวิวร้านจากหนังสือพิมพ์ต่างๆ ใส่กรอบประดับบอกยืนยันความเป็นตำนานของที่นี่ โดยเห็นเตาอบพิซซ่าอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านด้วย

3/3 ถนนสุขุมวิท31 แขวงคลองเตยเหนือ

เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110

เปิด-ปิด 11.30-23.00 น.

โทร. 02-259 040, 085-347 2777

ถ่ายภาพ แพรไพลิน ศุกลรัตนเมธี