อีกประมาณ    2   สัปดาห์ก็จะมีการเลือกตั้งทั่วไป      พอจะมองเห็นโฉมหน้ารัฐบาลหลังการเลือกตั้งหรือยัง  ?

รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง    14 พฤษภาคมนี้    คนทั่วไปน่าจะมองเห็นแล้ว     จากการสำรวจโพลของหลายๆ   สำนัก    พรรคเพื่อไทย   ก็มีคะแนนนำโด่ง    มีโอกาสที่จะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล      ปัญหามีอยู่ว่า     พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งชนิดที่เรียกว่า   ถล่มทลาย    ได้เสียงข้างมาก    จัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียวหรือไม่     

ถ้าชนะแบบได้คะแนนเกินครึ่ง ก็อาจจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว    หากไม่ ก็ต้องเป็นรัฐบาลผสม  ปัญหาต่อไปก็คือ ผสมกับพรรคใด     พรรคที่อยู่แนวทางเดียวกันก็คือ    พรรคก้าวไกล     พรรคไทยสร้างไทย    หรือจะข้ามมาที่พรรคพลังประชารัฐ     

ไม่ว่าจะเป็นพรรคใด     เพื่อจะร่วมกันเป็นรัฐบาล     แต่ละพรรค ก็ต้องกลืนเลือด  กลืนความเจ็บปวด   เพราะในช่วงที่แต่ละพรรคหาเสียง   ต่างก็กระแทกกระทันกันพอสมควร

ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี ?    และทิศทางของชาติบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ?

ถ้าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล     นายกรัฐมนตรีก็ต้องเป็น     อันดับแรกก็ แพทองธาร    ชินวัตร     อันดับ 2   ก็เป็น เศรษฐา ทวีสิน    และสุดท้ายก็เป็น  ชัยเกษม   
นิติสิริ

 3 คนนี้ต่างกันอย่างไร   ?

 ถ้าเป็นคนแรก    แพทองธาร     เราก็จะได้ทายาทของ   ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง     และก็ไม่น่าจะแตกต่างจากที่เราเคยมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก    คือยิ่งลักษณ์     ภารกิจที่นางประกาศไว้ตอนที่เปิดตัวครั้งแรกก็คือ    พาพ่อทักษิณกลับบ้าน

กลับมาติดคุก    หรือกลับมาอย่างเท่ห์ๆ     อย่างที่ทักษิณมันเคยคุยเอาไว้หรือเปล่า นางไม่ได้บอก

ถ้าเป็น แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีดังที่คาดการณ์ไว้นี้      ประเทศไทยก็จะมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ประสีประสาทางการเมืองเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง    จากที่เคยมี   ยิ่งลักษณ์   มาแล้วในปี2554 /2557     

ยิ่งลักษณ์   สร้างความฉิบหายมาแล้ว 5/6 แสนล้านบาทในกรณีจำนำข้าว    แพทองธารก็จะสร้างความฉิบหายให้ชาติบ้านเมืองอีกในกรณีที่พรรคจะแจกเหรียญดิจิตอลให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไป 1 หมื่นบาท (ถ้าธาคารแห่งประเทศไทย    และ กกต.   ยอมให้ทำได้)

ถ้าเป็นคนที่ 2  เศรษฐา  ทวีสิน      ประเทศไทยก็จะได้ นักธุรกิจ  ที่ประสบความสำเร็จแล้วเข้าสู่การเมืองครั้งแรก    ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ก็ประสบความสำเร็จ

เราจะได้นักการเมืองใหม่ที่กล้าโกหกคำโต    เช่น    เมื่อจะหาเสียงก็ต้องบอกว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจมันย่ำแย่      ประเทศไม่มีที่ยืน ไม่มีใครคบ    ผู้บริหารไล่คนดีมีความสามารถออกนอกประเทศ    เพียงเพราะไม่อยู่ในโอวาท   (เออ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี    เอ็งจะมีกำไรจากธุรกิจเป็นพันๆล้านได้อย่างไร         เออ ถ้าไม่มีใครคบ    การประชุมเอเปค   จะเกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างไร    และใครเขาจะยอมให้เราเป็นเจ้าภาพจัดประชุมนายธนาคารทั่วโลกในอีก 2 ปี    และที่ ทักษิณมันไปอยู่ดูไบ    นั่น    ไม่มีใครไล่มัน    มันหนีศาลไปเอง     และมันหนีไปในขณะที่ สมัคร สุนทรเวช    นอมินีของมัน เป็นนายกรัฐมนตรี  รู้ไว้ด้วยเศรษฐา)

พ้นจาก 2 คนนั้น    ก็เป็น ชัยเกษม นิติสิริ     นักกฎหมายที่มีความสามารถ ถึงขั้นเป็นอัยการสูงสุด

เป็นอดีตอัยการสูงสุดที่ไปให้กำลังใจ พานทองแท้   วันที่ขึ้นศาลคดีรับเงินจากเอกชนที่กู้กรุงไทย    อดีตผู้บริหารกรุงไทยติดคุก

เป็น อัยการสูงสุดที่ไม่สั่งฟ้อง นางหลุย เบญจา   ที่ช่วย ลูกๆทักษิณไม่ต้องจ่ายภาษี   ตอนหลังเมื่อมีการฟ้อง   นางหลุย   เบญจา   ก็ต้องเข้าคุก

ช่วงเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง พฤษภาคม 2553   ทักษิณเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีก่อการร้าย    สำนวนถึง อัยการสูงสุดคนนี้   ชื่อ ทักษิณ ก็หลุดไป

โอย     มีอีกหลายคดีครับ   !

ส่วนคำถามที่ว่า    ประเทศไทยจะไปในทิศทางใด   ก็ดังที่ได้กล่าวแล้ว    ถ้าเป็นไปตามโพลในหลายสำนัก     พรรคเพื่อไทยก็จะได้จัดตั้งรัฐบาล (ต้องรวมพรรคอื่นให้ได้เสียงข้างมากด้วย)       เราก็จะย้อนไปปี 2554  อีกครั้ง   ซึ่งมันสะท้อนว่า

ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน    พรรคเพื่อไทย     ประชาชนทั่วไปต่างก็รู้ว่า   คนที่บงการพรรคนี้อยู่คือ ทักษิณ    ไม่เช่นนั้นก็ เอายิ่งลักษณ์มาเป็นนายกไม่ได้    ไม่เช่นนั้นก็เสนอ   “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำไม่ได้  “      และไม่เช่นนั้น    ก็ลากลูกสาว    ซึ่งไม่ประสีประสาทางการเมืองมาเป็นแคดิเดต นายกรัฐมนตรีไม่ได้     กกต.   ก็อาจจะรู้   แต่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ เอื้อมไปไม่ถึง

และแม้ประชาชนทั่วไปรู้    แต่ประชาชนส่วนหนึ่งทั้งที่รู้ หรือไม่รู้   ก็อาจจะไม่รู้สึกรู้สาว่าทักษิณ   จะมีคดีติดตัวอย่างไร   อาจจะเชื่อว่า ถูกกลั่นแกล้ง     หรืออาจจะเข้าใจอย่างโง่เหมือนเศรษฐา เข้าใจว่า  เพราะทักษิณไม่อยู่ในโอวาทผู้มีอำนาจ จึงอยู่ในประเทศไทยไม่ได้

หรือไม่คนทั่วไปก็อาจจะคิดว่า   ทักษิณเก่ง มีความรู้มีความสามารถเหนือคนทั้งหลาย  ทายาทของเขาเมื่อมาเล่นการเมืองก็เหนือกว่า อดีต ส.ส. หลายสมัยในพรรค    คะแนนนิยมจึงพุ่งสูงในหลายๆจังหวัด และทั่วประเทศ

ถ้าวันที่ 14   พฤษภาคม      ผลออกมาอย่างนี้    ก็ต้องยอมรับกันละครับ

ยอมรับเหมือนหลังการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554   นั่นแหละครับ


   สำเริง   คำพะอุ