เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 14 ต่อ 15 พฤษภาคม หลังจากที่รู้ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ออกมาประกาศให้คนทั้งโลกได้รับรู้ว่า เขาคือ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ และวันรุ่งขึ้น เขาก็บอกว่า จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 8 ปี ก็พอดีกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พ้นจากการถูกตัดสิทธิทางการเมือง ซึ่งบอกเป็นนัยว่า จะมารับไม้ต่อจากเขา
ส่วนตัวเขาก็จะไปเป็น เลขาธิการสหประชาชาติ
ผมยังเขียนในบทความเลยว่า “ชีวิตของเขาช่างโรยไปด้วยกลีบกุหลาบเอาเสียจริงๆ”
มีนักการเมืองหลายคนลงสมัครรับเลือกตั้งตระเวนพบปะผู้คนเพื่อขอคะแนนเสียง บางคนได้รับเลือกตั้งครั้งแรกที่ลงสมัคร และได้รับเลือกทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ไม่มีโอกาสได้ เป็นรัฐมนตรี กับเขาเลย
นี่เป็น ส.ส.สมัยที่ 2 ก็เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยแล้ว
แล้วเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบก็ดำเนินต่อไป ด้วยการเจรจากับพรรคเพื่อไทย พรรคการเมืองที่คาดกันว่าจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ชนิดถล่มทลาย เพื่อจะได้ พาทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคุกมากว่า 10 ปี คดีทุจริตโกงชาติบ้านเมืองอย่างมหาศาลเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาทกลับประเทศอย่างเท่ ๆ
พรรคเพื่อไทยตอบรับด้วยดี และมีพรรคเล็กอื่นๆเข้าร่วมอีก นับรวมแล้วได้คะแนเสียงอยู่ที่ 312 /313 เสียง เป็นเสียงที่ค่อนข้างมาก เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
แต่ไม่เกินครึ่งของรัฐสภา (สภาผู้แทนราษฎร รวมกับวุฒิสภา) ซึ่งจะต้องได้ 376 เสียง เพราะฉะนั้นก็ต้องขอเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภา
จะไปขอเสียงจากเขายังไงละครับ ที่ผ่านมา 4 ปี ด่าเขามาตลอด ก็เลยต้องใช้วิธีกดดันว่า วุฒิสภา ต้องฟังเสียงประชาชนนะเว้ยเฮ้ย ประชาชนเขาเลือกมาแล้ว นี่เป็นประชาธิปไตยมาแล้ว ต้องเลือกนะเว้ยเฮ้ย
บางรายถึงกับบอกว่าถึงเวลาแฟนคลับเราต้องไปเยี่ยมบ้าน ส.ว. กันแล้ว แล้วก็โพสต์ที่อยู่ของ ส.ว. บางรายออกสู่สาธารณะ
มี ส.ว. ท่านหนึ่งคือ ถวิล เปลี่ยนศรี ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไว้ดีมาก ท่านบอกว่า
หลังทราบผลการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดในสภา ก็มีการเคลื่อนไหวรวบรวมเสียงในรัฐสภา ให้เกินกึ่งหนึ่งของเสียงรวมกันในรัฐสภา คือ 376 เสียง และมีเสียงเรียกร้องความชัดเจน จากเสียงของสมาชิกวฺฒิสภาว่าจะโหวตสนับสนุนหรือไม่
มีผู้สื่อข่าวที่สนใจประเด็นนี้ ได้สอบถามมาที่ผมหลายท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ผมได้ปฏิเสธไป เพราะเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะพูด หรือตัดสินใจเรื่องนี้ แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงสอบถามท่าที ความเห็นผมเข้ามาเรื่อยๆ ผมจึงตัดสินใจแสดงท่าทีเรื่องนี้ ให้ชัดเจนเสียที่นี่ ดังต่อไปนี้ ครับ
เวลาผมจะไปลงคะแนนเสียง หรือลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี นั้น
1/ ประการแรก ผมทำตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนด ถ้ารัฐธรรมนูญไม่กำหนด ผมก็ไม่ไปทำภารกิจนี้
2/ ประการที่สอง จำเป็นหรือไม่ที่ผมต้องโหวตให้เป็นไปตามเสียงข อง ส ส ส่วนใหญ่หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น เพราะ ถ้าต้องโหวตตาม ก็ไม่ต้องกำหนดในรัฐธรรมนูญ ให้ผม สว ไปโหวตด้วย
แต่นี่ ไม่ได้หมายความว่า ผมจะโหวตสวน หรือไม่เหมือน สส ส่วนใหญ่ นะ แต่หมายความว่า อาจเหมือนหรือไม่เหมือนก็ได้ เพียงแต่อย่ามัดมือมัดเท้าผม ขอให้เป็นการตัดสินใจของผมได้มั้ย
3/ ประการที่ สาม ภารกิจนี้ ผมถือเป็นหน้าที่ ไม่ใช่สิทธิ์ สิทธิ์ใช้ยังไงก็ได้ เพราะเป็นสิทธิ์ของเรา กระทบเราเป็นหลัก แต่หน้าที่นี่ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเป็นหน้าที่ต่อคนอื่น ทำให้คนอื่น ซึ่งในที่นี้ คือ ประเทศ และ ประชาชนทั้งประเทศ เพราะเขาต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะประชาชนที่เลือกเขา ดังนั้นต้องทำให้ดีให้เหมาะสม ถูกต้องที่สุด
4/ เวลาไปโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นั้น ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ คือไม่ได้ไปดูว่าเขาป๊อบปูล่า แค่ไหน ได้เสียงมามากน้อยแค่ไหน แต่ไปดูว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีได้หรือไม่ มีภาวะผู้นำ มีความคิด วิสัยทัศน์ และนโยบาย และแนวทางในการบริหารอย่างไร จะนำพาชาติบ้านเมืองไปได้ หรือไม่
ถ้ามีคู่แข่ง ผมก็เปรียบเทียบกับคู่แข่ง แล้วก็ตัดสินใจไปตามหลักการนั้น
ก็ขออนุญาต ให้ความเห็นที่ผมจะใข้ในการตัดสินใจ เมื่อเวลามาถึงครับ
ความเห็นดังกล่าวนี้ เชื่อว่าเพื่อน ส.ว.ของถวิล เปลี่ยนศรีจะต้องไดยิน รับรู้ และตระหนักเป็นอย่างดีในการตัดสินใจโหวต นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย
ขณะที่รอให้ได้เสียงทั้ง 2 สภาครบ 376 เสียงนั้น ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยก็มุ่งมั่น เตรียมพร้อมใน ภารกิจของการขึ้นสู่ตำแหน่ง ด้วยการประชุม 8 พรรคที่ร่วมรัฐบาล (ตัดไปพรรคหนึ่งคือพรรคของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และ กรณ์ จาติกวณิชย์ หลังจากที่ติดต่อเขาแล้ว แต่ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของแฟนคลับ เพราะเห็นว่าเป็นพรรคที่เคยมีสัมพันธไมตรีกับ 3 ลุงนั่น แฟนคลับ ร้องลั่น ไม่เอา พรรคสุวัจน์บวก กรณ์
ด่านหิน ของพิธา ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไม่ได้อยู่ที่เสียง ส.ว. เพื่อเติมให้ครบ376 เสียงเท่านั้น ยังมีเรื่องร้องเรียนที่ พิธา ถือหุ้นสื่อ ITV ซึ่งเขาถือมาตั้งแต่ที่พ่อเสียชีวิต 16/17 ปีมาแล้ว แม้จะอ้างว่าถือในฐานะผู้จัดการกองมรดก เขาก็มีส่วนเป็นเจ้าของ (ถ้าตรวจสอบกันแล้ว มรดกส่วนอื่นแบ่งกันไปแล้ว เหลือ ITV. เจ้ากรรมนี่แหละก็ยิ่งส่อพิรุธ)
ถ้า กกต.เห็นว่า เขาถือหุ้นตัวนี้มาตั้งแต่ก่อน 2562 และเป็นความผิด เขาก็ไม่ใช่ส.ส มาตั้งแต่ตอนนั้น
และถ้าวันนี้ กกต. เห็นว่าผิด ก็ส่งศาล รัฐธรรมนูญ
ถ้าไม่ผิด ก็ยังเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไปจนถึงวันเปิดสมัยประชุม วันเลือกประธานสภา และวันที่รัฐสภาพิจารณา บุคคลที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี
ถึงวันนั้นชื่อ พิธา จะยังอยู่หรือไม่ ?
เพราะ ตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็เกิดปัญหาขึ้นแล้วกับพรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยก็แสดงความต้องการที่จะได้ตำแหน่ง ประธานสภา เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นของพรรคก้าวไกลแล้ว ขณะที่พรรคก้าวไกลก็ต้องการตำแหน่งนี้เพื่อที่จะขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขกฎหมาย จะได้อาศัยตำแหน่งประธานสภาเดินเกมบรรจุระเบียบวาระการประชุม….
เป็นความขัดแย้งที่เปราะบาง พร้อมที่จะแตกหัก !
ระหว่างเจราจาร่วมรัฐบาลกันนั้น พรรคก้าวไกลก็ยอมลดราวาศอกไปแล้วหลายเรื่อง ยอมถอยนโยบายสำคัญๆของตนไปแล้วหลายเรื่อง
พรรคเพื่อไทยนั้นรู้ว่า พรรคก้าวไกลขาดเพื่อไทยไม่ได้ ขาดเพื่อไทยเมื่อใด พรรคก้าวไกลก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะพรรคก้าวไกลเลือกที่จะคบพรรคโน้นพรรคนี้ ไม่คบพรรคนั้น พรรคนี้
ขณะที่พรรคการเมืองบางพรรคก็เลือกที่จะไม่คบพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกัน
นี่คือสถานการณ์ที่ยากลำบากของว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย !
จะมีชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เสนอขึ้นไปให้สมาชิกรัฐสภาพิจารณาลงมติให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อย่าได้กระพริบตา นะครับพี่น้อง
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี