รัฐบาลผสมที่กำเนิดขึ้นด้วยการตระบัดสัตย์ ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ แถลงนโยบายต่อสภา จากนั้นก็บริหารราชการแผ่นดิน ให้ประเทศชาติวัฒนาสถาพร เจริญรุ่งเรือง ประชาชนทุกหมูเหล่าอยู่ดีมีสุข
เป็นไปได้แค่ไหน ?
รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลผสม หลายพรรค มองเผินๆ ก็เหมือนคนละขั้ว คนละฝ่าย อย่างที่เคยโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนทั้งหลายเข้าใจว่า มีฝ่ายประชาธิปไตยหนึ่ง ฝ่ายเผด็จการอีกหนึ่ง ที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายนี้เกิดจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกฝ่ายทหารยึดอำนาจ มาตั้งแต่เป็นพรรคไทยรักไทย (19 กันยายน 2549) และเมื่อเปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทย ก็โดนอีกครั้ง (22 พฤษภาคม 2557)
เมื่อถูกรัฐประหาร ก็เลยพยายามเรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนอีกฝ่ายเป็นเผด็จการ ทั้งที่ในความเป็นจริงก็คบหาสมาคมกันอยู่ นักการเมืองที่เคยเป็นรัฐมนตรี ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งมันก็ยังสามารถเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลได้ ทั้งฝ่ายประชาธิปไตย และทั้งฝ่ายที่พวกมันบอกว่าเป็นเผด็จการ (มิใช่เพราะมันมีฝีไม้ลายมือในการบริหาร หากแต่พวกมันมีความสามารถในการเปลี่ยนสี เปลี่ยนธาตุ ปรับตัวเองให้เข้ากับดินฟ้าอากาศ และผู้คนที่จะมีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหาร หรือนายทุนนักเลือกตั้ง)
คำถามที่ว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองวัฒนาสถาพร เจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีความสุข มีอยู่มีกิน บอกได้เลยว่า เป็นเรื่องยาก เพราะการเริ่มขึ้นของรัฐบาลด้วยความที่ไม่ซื่อสัตย์เสียแล้ว ก็ยากที่จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตัวรัฐบาล และจะบังเกิดผลในทางที่เป็นมงคลแก่ชาติ ประชาชน ก็ยากยิ่งขึ้นไปอีก
หาไม่แล้ว พระพุทธเจ้า ท่านก็คงไม่สอนเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริตดอก !
เอาง่ายๆ นโยบายที่รัฐบาลจะแถลงในวันที่ 11 กันยายนนี้ นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรีบอกว่า นโยบายเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ไม่ได้บรรจุไว้ในนโยบายที่จะแถลง ต้องรออีก 2 ปี เช่นเดียวกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมบอกว่า “ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน”
ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น เป็นนโบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยมาตลอดตั้งแต่ปี 2562 เลือกตั้งซ่อมที่เขตหลักสี่ ก็เน้นเรื่องนี้ เลือกตั้งคราวนี้ก็ใช้ ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายหาเสียงอีก มันไม่ถือเป็นเรื่องรีบด่วน มันจะเอาอะไรเป็นเรื่องรีบด่วน ถ้ามันสามารถทำให้ค่ารถไฟฟ้าลดลงมาเหลือ 20 บาทตลอดสายอย่างที่มันคุยโอ่ไว้ แน่นอนว่า ประชาชน กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการและปทุมธานี จะสามารถลดค่าครองชีพลงไปได้มากทีเดียว ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็จะดีขึ้น
นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำ จะต้องแก้ แล้วมีอะไรที่ด่วนกว่า และจะช่วยประชาชนได้มากกว่าเล่า ?
นายสุริยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นั่นเป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือมานานแล้ว อย่างน้อยก็รัฐบาลก่อนนี้ (พลเอกประยุทธ) มันพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า หลังเลือกตั้งจะไม่รับตำแหน่งใดๆ พูดไม่พูดเปล่า ขอร้องให้สื่อทั้งหลายช่วยกันเป็นพยาน
เลือกตั้งเสร็จมันก็ตระบัดสัตย์ !
เรื่องของเรื่องก็คือ นโยบายดังกล่าว ในความเป็นจริงแล้วมันทำไม่ได้ ค่าใช้จ่ายค่าลงทุน ต่างก็เห็นกันอยู่ แต่มันเอานโยบายดังกล่าวมาหาเสียง เพื่อหลอกเอาคะแนนจากประชาชนเท่านั้นเอง
มันก็รู้ว่ามันทำไม่ได้
เรื่องชวนหัวร่ออีกเรื่องหนึ่งของรัฐบาล ตระบัดสัตย์ชุดนี้ก็คือ การเอานายสุทิน คลังแสง อดีตครูจากมหาสารคาม มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแล้วก็โก้ดี ครูมาคุมกระทรวงใหญ่ ดูแลบรรดานายพลทั้งสามเหล่าทัพลงไปถึงพลทหาร
ก่อนเข้าทำหน้าที่ก็ขอความรู้ ขอคำแนะนำจากบรรดานายทหารที่เกษียณราชการแล้ว โดยลืมมองไปว่าบรรดา นายพลกูรูเหล่านั้น หลายท่านโดนปลดมาแล้ว โดนยึดอำนาจมาแล้ว
ที่น่าหัวร่อก็คือ ไปศึกษานโยบายต่างๆของกองทัพที่เขาทำมาแล้ว และจะทำต่อไป เอามาประกาศว่าเป็นนโยบายที่ตัวในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะทำต่อไป
ไอ้ที่ตัวเคยอภิปรายในสภามาแล้ว ในฐานะนายสุทิน คลังแสง ก่อนหน้านี้ไม่พูดถึงเลยสักแอะ
คนเขาไม่ลืมหรอกนะ เคยอภิปรายถึงงบกระทรวงกลาโหมว่าอย่างไร การจัดซื้ออาวุธ ซื้อเรือดำน้ำ ซื้อเครื่องบิน เคยพูดว่าอย่างไรมาก่อน
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี