“คิดใหญ่ ทำเป็น”
สโลแกนของพรรคเพื่อไทย แต่พอได้เป็นรัฐบาลชักไม่แน่ใจเสียแล้ว มีหลายเรื่องยิ่งคิดก็ยิ่งกลายเป็นวัวพันหลัก วนอยู่นั่นแหละ อย่างเรื่องยาบ้า ที่พรรคเพื่อไทยประกาศตอนหาเสียงว่า “เพื่อไทยมา ยาเสพติดหมดไป”และเมื่อได้เป็นรัฐบาลก็กำหนดไว้เป็นนโยบาย
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า รัฐบาลจะดำเนินการปราบปรามให้หมดไปจากสังคมไทย โดยยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” และดึงประชาชนออกจากวงจรการค้ายาเสพติดอย่างถาวร ซึ่งฟังดูดี และถือว่าคิดใหญ่
แต่คำว่า “ทำเป็น” เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่า รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เป็นเจ้ากระทรวง เหมือนกำลังเมายาบ้าเพื่อจะแก้ปัญหายาบ้า จากการที่เตรียมจะประกาศกฎกระทรวงกำหนดการครอบครองยาบ้า โดยกำหนดว่า ใครครอบครองยาบ้าไม่เกิน 10 เม็ด ให้ถือว่าเป็นผู้เสพ ถ้าเกินจากที่กำหนดถือว่าเป็นผู้ค้า
ถ้าเป็นไปตามกฎกระทรวงตามที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำหนดไว้นั้นมีปัญหาแน่ เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนครอบครองยาบ้ามากขึ้น ซึ่ง พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ เลขาธิการ ป.ป.ส. ที่มีอำนาจเกี่ยวกับการปราบปรามโดยตรง ให้สัมภาษณ์ว่า ในมุมของผู้บังคับใช้กฎหมายเห็นว่า ถ้าเกณฑ์ครอบครองยาบ้าเพื่อเสพ 10 เม็ด จะทำให้ผู้ค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น
ส่วน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เห็นว่า จะหนึ่งเม็ดหรือสิบเม็ดก็คือผู้เสพและผู้ป่วย เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องดูแล พร้อมกับบอกว่า จำนวนผู้เสพและผู้ป่วยในประเทศไทยเวลานี้จากการคาดการณ์ มีอยู่ประมาณ 1.5 ล้านคน โดยแยกเป็นสามกลุ่ม คือ ผู้ใช้ผู้เสพ และผู้ที่ติดแล้ว
ผู้ใช้ คือ ผู้เสพที่ไม่มีอาการ โดยใช้ยา(บ้า)เป็นบางครั้งบางคราว ขณะที่ผู้เสพ-มีอาการต้องใช้ยามากขึ้น และผู้ติดแล้ว มีอาการติดยาอย่างชัดเจน ซึ่งทั้งสามกลุ่มนี้
นพ.ชลแก้ว ศรีน่าน เปิดเผยว่า เป็นหน้าที่ที่กระทรวงสาธารณสุขต้องดูแล โดยแยกกลุ่มเข้าการบำบัดรักษา ทั้งนี้ ผู้ใช้จะเป็นชุมชนบำบัด สำหรับผู้เสพและผู้ติดจะเป็นหน้าที่ของมินิธัญญารักษ์และหอผู้ป่วยจิตเวช
สรุปในมุมของกระทรวงสาธารณสุข ก็คือ ไม่ว่าใครจะมียาบ้าในครอบครองกี่เม็ดก็ถือว่าเป็นผู้เสพและผู้ป่วยที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องดูแล ส่วนผู้ค้าหรือใครจะค้าไม่เกี่ยวกับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ว่าอย่างนี้ “ผมเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมว่าแม้จะหนึ่งเม็ด แต่มีพฤติกรรมขายก็ต้องเป็นผู้ค้า นั่นเป็นหน้าที่ของท่าน แต่ในมุมของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่ากี่เม็ดเราก็ดูแลหมด ไม่ว่าจะหนึ่งเม็ด สองเม็ด สิบเอ็ดเม็ดสิบสองเม็ด หรือสิบสามเม็ด ก็เป็นหน้าที่เราต้องบำบัดรักษา”
ถ้าเป็นอย่างนี้ ปัญหาที่ตามมาก็จะเกิดขึ้นอย่างที่ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาฯ ป.ป.ส.บอก คือ จะทำให้จำนวนผู้ค้ายาบ้ารายย่อยเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้มีคนหันมาค้ายาบ้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ เพราะพกพาง่าย ขายสะดวก
เป็นอันว่า แทนที่จะปราบปรามยาบ้าให้หมดไปจากสังคมไทยตามนโยบายของรัฐบาล ก็กลายเป็นเปิดโอกาสให้คนไทยหันมาเสพยาบ้ามากขึ้น เพราะหาซื้อยาบ้าได้ง่ายขึ้นจากจำนวนผู้ค้ารายย่อยที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้เสพพัฒนาขึ้นมาเป็นผู้ค้ารายย่อยไปโดยปริยายเรียกว่าเสพไปด้วยค้าไปด้วย ไม่ต่างจาก “ค้าเพื่อเสพ” โดยไม่ต้องกลัวว่าของหรือยาบ้าจะขาดเพราะไม่มีเงินซื้อ
ปัญหาที่ตามมาเป็นลูกโซ่ ก็คือ การบำบัดรักษาผู้ติดยาบ้า ก็จะเป็นงานที่ล้นมือกระทรวงสาธารณสุขอีก ซึ่งเวลานี้ สถานบำบัดรวมทั้งบุคลากรที่จะมาทำหน้าที่ก็ยังมีจำกัด ไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ ไม่ว่าจะมินิธัญญารักษ์ หรือหอผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด ที่จะต้องมีทุกอำเภอทั่วประเทศ
และปัญหาที่ว่านี้ กระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ก็เพิ่งจะประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ว่า ในปีงบประมาณ 2567 จะดำเนินการให้ครบทุกพื้นที่ทุกอำเภอ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเป็นหนึ่งเรื่องที่กำหนดไว้ในแผนเร่งรัด “QuickWin 100” หรือแผนเร่งรัดที่กำหนดให้ทำแล้วเสร็จภายใน 100 วัน ด้วยความฝันอันสวยหรูของ นพ.ชลน่าน ที่ว่า “เพื่อคืนลูกหลานเยาวชน คืนโอกาสให้ประชาชนคนไทย และสร้างโอกาสประเทศในการขับเคลื่อนผลิตภาพมนุษย์วัยแรงงาน ซึ่งมั่นใจว่านโยบายเร่งรัดควิกวินเรื่องยาเสพติดจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ใน 100 วัน”
ดูทรงแล้ว เรื่อง “ครอบครองยาบ้าไม่เกิน10 เม็ด ให้ถือว่าไม่เป็นผู้เสพ” ที่กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศเป็นกฎกระทรวงบังคับใช้นี้ เหมือน“ลิงทอดแห” หรือ “ลิงแก้แห” พันกันมั่วไปหมด เหมือนยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง สุดท้ายก็มัดคอตนเองเหมือนที่ลิงทอดแหแล้วตกน้ำตาย
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ เมื่อทั้งจำนวนผู้เสพและผู้ค้ารายย่อยก็จะเพิ่มมากขึ้น นอกจากยาเสพติดหรือยาบ้าไม่หมดไปจากสังคมไทยดังที่รัฐบาลประกาศนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว จำนวนผู้เสพจากตัวเลขของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีอยู่ทั้งหมด 530,000 คนนี้ปรากฏว่าเป็น “บุคคลสีแดง” หรือบุคคลที่พร้อมจะทำร้ายผู้อื่นมีถึง 32,000 คน ซึ่งจริงๆ น่าจะมีมากกว่านี้หลายเท่า
ก็ลองหลับตาคิดดูว่า เมื่อทั้งจำนวนผู้เสพและผู้ค้ารายย่อยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทย เพราะนั่นหมายถึง “บุคคลสีแดง” ก็ย่อมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
แนวทางที่ถูกต้องนั้น จะต้องห้ามไม่ให้มีการพกพาหรือครอบครองยาบ้าแม้แต่เม็ดเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้เสพหรือผู้ค้า เพราะถ้าไม่มีผู้ค้าก็ไม่มีผู้เสพ เมื่อไม่มีผู้เสพก็ไม่ต้องมีการบำบัด
ปัญหาอยู่ที่ว่า จะตัดวงจรการค้ายาบ้าได้อย่างไร คือต้องไม่ให้มีการผลิต และไม่ให้มีการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านได้-ถามว่ารัฐบาลทำได้หรือเปล่าล่ะ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี