การชุมนุม“พลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา จบลงอย่างงดงาม ด้วยบรรยากาศ“ประชาธิปไตยเบ่งบาน”
ประชาชนเรือนแสนออกมาชุมนุมกันอย่างคึกคัก แม้ฝนตกก็ไม่ยอมถอย เป็นไปอย่าง“สันติอหิงสา”ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และปิดเวทีตามกำหนดสามทุ่มเศษ โดยที่นับจากนี้ไป อาจจะมีการนัดชุมนุมใหญ่กันอีก ถ้าหากข้อเรียกร้องและเจตนารมณ์ของการชุมนุมไม่เป็นผล
ข้อสรุปที่เป็นข้อเรียกร้องจากการชุมนุมนุมครั้งนี้ ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่ารวมตัวกันแสดงออกถึงความหวงแหนผืนแผ่นดินไทย และความรัก“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” โดยถือ“ธงไตรรงค์”โบกสะบัดกันอย่างพร้อมเพรียงนั้น มี 3 ประการด้วยกันที่เป็นประเด็นสำคัญ
หนึ่ง-เรียกร้องให้“แพทองธาร ชินวัตร” ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายความผิด ฐาน“ทรศยศ-ขายชาติ” จากกรณี“คลิปอัปยศ” ในการสนทนากับ“ฮุน เซน”ผู้ทรงอำนาจแห่งเขมร ซึ่งนอกจากจะกล่าวหาว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แห่งกองทัพไทย ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนายกรัฐมนตรีไทยแล้ว ก็ยังเอ่ยปากว่า พร้อมที่จะ“จัดให้ทุกอย่าง”ตามที่เขมรร้องขอ
สอง-ให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคถอนตัวออกจากรัฐบาลทันทีเช่นกัน หาไม่เช่นนั้นจะเข้าข่าย เป็น“โจร”ที่พายเรือให้“โจรนั่ง”
และสาม-มีความเห็นร่วมกันว่า อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร “ผู้ชักใย”นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลผสมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ สมควรต้องติดคุก อันเนื่องมาจากคดี“ป่วยทิพย์-ชั้น 14”โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีนัดไต่สวนอีก 6 นัด คือในวันที่ 4, 8, 15, 18, 25 และ 30 กรกฎาคมนี้ จากนั้นก็น่าจะนัดฟังคำสั่งของศาลฎีกาฯ ได้
สำหรับ“แพทองธาร ชินวัตร”นั้น วันที่ 1 กรกฎาคมวันพรุ่งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมเพื่อพิจารณา ว่าจะรับหรือไม่รับคำร้องของ 36 สว.ที่เสนอให้มีการถอดถอน“แพทองธาร”ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณี“คลิปอัปยศ” ซึ่งยื่นคำร้องโดยนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา
คำร้องดังกล่าวของ 36 สว.ระบุว่า “แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมผิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
หากในวันที่ 1 กรกฎาคมพรุ่งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ก็ยังอาจจะทำให้“แพทองธาร ชินวัตร”ต้องถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ 36 สว.ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้อง คือ“แพทองธาร”หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
จากนี้ไป“สองพ่อลูกผูกพัน”แห่งตระกูลชินวัตร ในฐานะผู้“ชักใย”และผู้ถูก“เชิดหุ่น” จะต้องลุ้นระทึกว่า ชะตากรรมจะเป็นเช่นใด ภายใต้กรอบของกฎหมายตามหลักนิติรัฐและหลักยุติธรรม ซึ่งรวมไปถึงบรรดา สส.และนักการเมืองในคอกพรรคเพื่อไทยทั้งหลาย ที่หลงเหลิงอำนาจจากการเป็นรัฐบาล ก็จะต้องเฝ้าลุ้นด้วย เพราะถ้า“นายใหญ่-นายน้อย”จบ จะได้“ตีจาก”ไปหาพรรคใหม่สังกัดต่อไป
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น สมควรต้องเปิดโปงและประณาม คือ การเคลื่อนไหวของ สส.พรรคประชาชน ที่ออกมาปั่นกระแสเรื่อง“รัฐประหาร” ทันทีที่การชุมนุมของ“พลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมายุติลง โดยออกแถลงการณ์พยายามบิดเบือนว่า
“การชุมนุมที่นำโดย‘คณะรวมพลังแผ่นดิน’ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้จะมีข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ลาออก และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องตามปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่า การปราศรัยของแกนนำบนเวทีบางคน กลับมีเนื้อหาที่เปิดทางให้กับการรัฐประหาร รวมถึงมีการปลุกปั่นกระแสชาตินิยมที่เกินเลยขอบเขต”
และอีก 3 ย่อหน้าถัดจากนี้ จากแถลงการณ์ของพรรคประชาชนเมื่อคืนวันที่ 28 มิถุนายนสองวันก่อน
“พรรคประชาชนขอประณามการสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง พรรคประชาชนขอเรียกร้อง ให้พี่น้องประชาชนที่สนับสนุนการชุมนุมด้วยความไม่พอใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ถอนตัวจากการสนับสนุนคณะรวมพลังแผ่นดิน ที่มีแกนนำบางคนมีเจตนาสนับสนุนการรัฐประหาร และการแทรกแซงการเมืองด้วยวิถีทางนอกประชาธิปไตย”
“เพราะแม้ว่าการแสดงออกทางการเมือง ด้วยการชุมนุมประท้วงจะเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่พวกเราคนไทยต่างได้รับบทเรียนอย่างดีแล้วว่า 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศชาติและประชาชนบอบช้ำเสียหายอย่างไม่อาจประเมินได้ จากการรัฐประหาร 2 ครั้ง และปัญหาการเมืองของเรา ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิถีทางนอกประชาธิปไตย ผลพวงจากการรัฐประหาร กลับซ้ำเติมปัญหาการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล การคอร์รัปชัน กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว และการเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง และกลุ่มทุนผูกขาดเสียด้วยซ้ำ”
“พรรคประชาชนขอยืนยันว่า ทางออกจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ที่ดีที่สุด คือหนทางปกติตามระบบรัฐสภา นั่นคือการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้แก่ประชาชน เพื่อให้อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นผู้กำหนดอนาคตของบ้านเมืองด้วยตนเอง ว่าต้องการผู้นำและรัฐบาลใหม่แบบไหน”
สรุปก็คือ พรรคประชาชนอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เพราะมีเป้าหมายที่ต้องการจะให้มีการประกาศยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ โดยคิดว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้พรรคประชาชนมีโอกาสได้ สส.แบบ“แลนด์สไลด์” และมีเสียงข้างมากพอที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว จึงพยายามที่จะเรียกร้องให้มีการยุบสภาฯจากกรณี“คลิปอัปยศ”
อันที่จริงถ้าจะว่าไปแล้ว ถ้าหากพรรคประชาชนที่อวตารมาจากพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้สมบทบาทมาตั้งแต่ต้น โดยไม่มีเจตนาซ่อนเร้นแบบ“ค้านไปรอเสียบไป” ตามข้อตกลง“ดีลลับฮ่องกง” หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ระหว่าง“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”กับ“ทักษิณ ชินวัตร” นายทุนพรรคตัวจริงของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย การเมืองของประเทศไทยก็คงจะไม่เดินมาถึงจุดนี้ จุดที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ต้องลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เพราะมิอาจพึ่งพา สส.ทั้งพรรคฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลได้
ใครก็รู้ว่า สส.พรรคประชาชน รวมทั้งบรรดาผู้นำจิตวิญญาณของพรรคสีส้ม ที่เวลานี้เรียงหน้ากันออกมาบิดเบือนข่าวปลุกกระแส“รัฐประหาร” เพื่อให้ประชาชนที่เห็นต่างเกิดการเผชิญหน้า รวมทั้งพยายามจะชูประเด็นเรื่องการ“ยุบสภาฯ”นั้น
เป้าประสงค์ก็เพราะ หาก“แพทองธาร ชินวัตร”ลาออกโดยไม่ยุบสภาฯ พรรคประชาชนหมดโอกาสที่จะส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเข้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เนื่องจาก“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหนึ่งเดียวของพรรคสีส้ม ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้วเป็นเวลา 10 ปี พร้อมกับที่พรรคก้าวไกลถูกยุบบพรรคเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567
คงต้องบอกว่า นักการเมืองสายพันธุ์“ประชาธิปไตยยูนิคอร์น” ที่ไม่ได้อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง และประกาศตัวว่าเป็นคนรุ่นใหม่นั้น เป็นนักการเมืองน้ำเน่ายิ่งกว่าน้ำครำ
เน่าชนิดที่เรียกว่ายิ่งกว่า“ไขเสนียด”!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี