ทุกวันนี้ผมอยู่แถบถิ่นเมืองเหนือ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ช่วงนี้หนาวแล้ว ชาวบ้านกำลังทยอยเกี่ยวข้าว ด้วยการตบมือลงแขก ทางถิ่นนี้เป็นไทยใหญ่เรียก“เอามือ” ถือว่ายังเป็นวิถีเดิมๆ พอถึงฤดูทำไร่ไถนาหรือเกี่ยวข้าว ชาวบ้านก็จะลงแรงโดยวนช่วยแรงกันไปจนครบมือ นับเป็นความงดงามที่ยังมีอยู่ในชนบทไทย
สมัยก่อนพอถึงฤดูกาลและเทศกาล เสียงเพลงทางสถานีวิทยุก็จะเปิดเพลงสอดคล้องกับฤดูกาลและเทศกาลนั้นๆ ไม่ว่าจะหน้าเกี่ยวข้าว เทศกาลลอยกระทง ปีใหม่ หรือสงกรานต์ โดยออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงของกรมประชาสัมพันธ์ที่แพร่เสียงด้วยระบบ A.M. ดังกระจายไปทั่วทุกหมู่บ้านย่านถิ่นของประเทศไทย
ถ้าถึงหน้าเกี่ยวข้าว ก็จะได้ยินเพลงรำวงเกี่ยวข้าวที่ติดหูมาจนทุกวันนี้ เป็นเพลงของวงสุนทราภรณ์ แต่งคำร้องโดย“ครูเอิบ ประไพเพลงผสม” และแต่งทำนองโดย “ครูเอื้อ สุนทรสนาน” เป็นเพลงขับร้องหมู่ ต้นฉบับเดิมนั้น ฝ่ายชายขับร้องโดย“วินัย จุลละบุษปะ” และฝ่ายหญิงขับร้องโดย “เพ็ญศรี พุ่มชูศรี” เพลงเริ่มโดยลูกคู่ทั้งหญิงชายร้องต้นเพลงพร้อมกันว่า “เกี่ยวเถิดนะแม่เกี่ยว” ไปจนถึง “เดี๋ยวเคียวจะบาดก้อยเอย” พอร้องจบสองรอบ จากนั้นฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็จะผลัดกันร้องเหมือนเกี้ยวพาราสีกันในวงเกี่ยวข้าว เริ่มด้วยฝ่ายชายก่อน พอฝ่ายชายร้องจบ ก็เป็นฝ่ายหญิงร้อง
ที่ยกเรื่องนี้มาพูด เพราะวันก่อนเห็นข่าว“อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไปพูดเรื่อง“Soft Power” นัยว่าเพื่อยกระดับชีวิตคนไทย พร้อมทั้งส่งออกวัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก เธอพูดในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และยังได้ยกตัวอย่างว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วนโยบาย OTOP หรือที่คนไทยทั่วไปรู้จัก“หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์”นั้น รัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีได้ทำสำเร็จมาแล้ว เธอว่าสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้โน่นเลย
”แพทองธาร ชินวัตร”ได้ล่าวบรรยายพิเศษ ‘Soft Power The Great Challenger’ ในการสัมมนา ‘THAILAND 2024 : beyond RED OCEAN เส้นทางใหม่ เป้าหมายใหม่ ที่มั่นคง’ จัดขึ้นโดย ประชาชาติธุรกิจและประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ว่า
“การสร้าง Soft Power ไม่ใช่เรื่องที่มีหลักสูตรที่ชัดเจน ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำทางลัดได้ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเร่งกระบวนการทุกอย่างได้ แต่วันนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เริ่มแล้ว ภาคเอกชนก็เริ่มแล้ว ต่างประเทศก็พร้อมที่จะเปิดรับวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก จึงอยากบอกว่าเราจะวางยุทธศาสตร์สร้าง Soft Power ให้ประเทศไทยกลับมามีตัวตนอีกครั้ง พร้อมที่จะยกระดับชีวิตพี่น้องประชาชนสู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง”
ฟังแล้วก็รู้สึกดีตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมองการใช้ชีวิตของ“อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ซึ่งทุกวันนี้นอกจากจะเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ฯ แล้ว เธอก็ยังมีสถานะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่มีสิทธิ์จะขึ้นนั่งเก้าอี้นายกฯแทน“เศรษฐา ทวีสิน”ได้ทุกเมื่อ ปรากฏว่า เธอเป็นผู้นิยมใช้ของต่างประเทศแบรนด์หรูยี่ห้อดังๆ มากกว่าแบรนด์“ไทยทำไทยใช้”
เช่นวันเกิดเมื่อปีก่อน เธอก็สร้างความฮือฮา โดยสื่อในโลกโซเชียลได้ระบุถึงราคาเสื้อยี่ห้อ“PRADA”แบรนด์เนมระดับไฮเอนด์จากอิตาลี ราคาตัวละ 83,725.75 บาท ที่มีภาพเธอสวมใส่เป่าเต้กในคืนวันนั้น ซึ่งยังไม่นับรวมเครื่องประดับอื่นๆ ไม่ว่าจะนาฬิกา ต่างหู กำไลข้อมือ และรองเท้า ที่เป็นของแบรนด์เนมราคาแพงระยับทั้งสิ้น
ยิ่งในช่วงหาเสียเลือกตั้งที่ผ่านมา เธอขึ้นเวทีปราศรัยแต่ละครั้งเสื้อผ้าหน้าผมรวมทั้งเครื่องประดับไม่เคยซ้ำ และใช้แบรนด์หรูยี่ห้อดังราคาแพงจากต่างประเทศตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เธอสวมใส่นาฬิกาแบรนด์“บุลการี” (Bvlgari) ราคา 504,000 บาท และต่างหูแบรนด์“แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์” (Van Cleef & Arpels) เครื่องประดับจากประเทศฝรั่งเศส ราคาประมาณ 128,000 บาท
และรุ่งขึ้นในวันแถลงข่าวร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 สื่อในโลกโซเชียลประเมินเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับอื่นๆ ในตัวเธอ รวมแล้วราคาไม่ต่ำกว่า 7 ล้านบาท
ทั้งนี้ เฉพาะชุดที่สวมใส่ในวันดังกล่าว เป็นเสื้อโค้ทยี่ห้อ "กุชชี" (Gucci) จากอิตาลีราคาในเว็บไซต์คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 92,700 บาท ขณะที่รองเท้าที่เธอใส่เป็นแบรนด์มาแรงยี่ห้อ“Amina Muaddi” จากโรมาเนีย ที่ว่ากำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากสาวไฮโซคนดังๆ โดยเฉพาะในแวดวงฮอลลีวูดทั้งหลาย ราคาอยู่ที่ 3,109 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณแสนกว่าบาท
นอกจากนั้น ก็ยังมีนาฬิกา“ปาเต็ก ฟิลิปป์” (Patek Philippe) ราคาประมาณ 6 ล้านบาท, ที่คาดผมของ“เฟนดี” (Fendi) ราคา 24,000 บาท, ต่างหูแบรนด์“บุลการี” (Bvlgari) ราคา 330,200 บาท, แหวน“บุลการี”ราคา 298,300 บาท, กำไลข้อมือ“บุลการี”ที่เข้าชุดกันราคา 205,700 บาท และกำไลข้อมืออีกชิ้นหนึ่งแบรนด์คาร์เทีย (Cartier) ราคา 171,000 บาท
อะไรก็ดีหมด และอย่างที่เธอกล่าวบรรยายพิเศษว่า ”การสร้าง Soft Power ไม่ใช่เรื่องที่มีหลักสูตรที่ชัดเจน ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำทางลัดได้”
จึงอยากขอแนะนำว่า ถ้าจะให้ดียิ่งไปกว่านั้นเพื่อเป็นแบบอย่าง อุ๊งอิ๊งควรนำเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับแบรนด์หรูยี่ห้อดังราคาแพงจากต่างประเทศที่ใช้อยู่ในเวลานี้ ไปเก็บเข้ากรุให้หมด แล้วหันมาใช้แบรนด์ของบ้านเรา
รับรอง Soft Power ไทยไปโลดแน่นอน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี