วันอาทิตย์ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด ผู้ผลิตกระเบื้อง “คอตโต้” มาเชิญไปทำสัมมนาอบรมพนักงานในหัวข้อ “ทีมงานแห่งความสุข” ผมก็ตอบตกลงเพราะชอบคำว่า “ความสุข”
การทำงานเป็นทีมที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะทีมงานไม่มีความสุข ขาดศรัทธากัน มีความขัดแย้ง เครียด และมีความรู้สึก “สุดโต่ง” มากไป เช่น เกลียดมาก รักมาก เลยแบ่งพวกย่อย ๆ ได้ง่าย ที่เรียกว่า “การเมืองในทีมงาน”
มนุษย์เรามีความรู้สึกต่อคนอื่น สิ่งอื่นๆ เป็น 3 แบบ คือ
1. พอใจ ทำให้เกิดความชอบ อยากได้ อยากผูกพันต่อไป เกิดความกระวนกระวายใจ และไม่เป็นสุข
2. ไม่พอใจ ทำให้เกิดความเกลียด รังเกียจตามมา เกิดความไม่เป็นสุข
3. วางเฉย ทำให้เกิดความเฉื่อยชา โง่เขลา ไม่สนใจ ไม่รู้เรื่อง อยากเลี่ยง ทำให้ไม่เป็นสุขเช่นกัน
(ความวางเฉยกับปล่อยวางนี่คนละอย่างกันนะครับ)
ในแง่จิตวิทยาแล้ว การที่เรา “พอใจ” อะไรสักอย่างมากๆ เรามักจะให้ค่าหรือประเมินราคาของสิ่งนั้นเกินความเป็นจริงเสมอ
และการที่เรา “ไม่พอใจ” อะไรมากๆ สักอย่าง เรามักให้ค่าหรือประเมินค่าของสิ่งนั้นน้อยกว่าความเป็นจริงเสมอ
และเมื่อเราวางเฉยไม่สนใจ ก็แสดงว่าเราไม่อยากเห็นสภาพความจริงขณะนั้น อยากเลี่ยงหนี
ความทุกข์ ความสุขทั้งหลายอยู่ที่ “จิตใจ” หรือความรู้สึกของเราที่จะพอใจ ไม่พอใจ หรือวางเฉยมากน้อยแค่ไหนนี่เอง
ถ้าอยากมีความสุข ลดความทุกข์ ลดความเซ็ง ก็ต้องบริหารจิตใจหรือความรู้สึกให้ดี
ในทางพุทธศาสนาแนะให้มีการฝึกจิตโดยการทำสมาธิ (Meditation) เพื่อให้จิตเข้มแข็ง เกิดสติ ไม่อ่อนแอ ไม่โทษผู้อื่น และสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีสมดุลเหมาะสมต่อไป
ปัญญา (Wisdom) ที่เกิดขึ้นต่อจากสติที่ตั้งมั่นได้นานๆ แล้ว จะทำให้เรารู้จักลดความคิดสุดโต่งเหล่านั้นลง โดยความรู้เท่าทันถึงความไม่แน่นอนและการยึดถือครอบครองไม่ได้ของสิ่งเหล่านั้น
จิตของเราจะเข้มแข็ง เป็นสุข-สงบขึ้น ทนต่อความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาได้ดีขึ้น ไม่แสวงหาความพอใจหรือความสุขแบบสุดโต่ง ไม่ปล่อยใจให้โกรธเกลียดอะไร หรือวางเฉย อีกต่อไป
เกิดสมาธิสุข (สุขที่อยู่กับปัจจุบันที่มีสติ) และวิมุติสุข(สุขที่เกิดจากการปล่อยวาง) ได้มากน้อยต่างกันตามวิธีคิดและการฝึกปฏิบัติของแต่ละคน
ในการทำงานเป็นทีมนั้น ถ้าสมาชิกของกลุ่มได้รับการฝึกสมาธิแบบดังกล่าวบ้าง เขาจะเริ่มเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่นและมีความสุขกับสภาพที่เห็นอยู่ เป็นอยู่ได้มากขึ้น ไม่รู้สึกสุดโต่งดังกล่าวแล้ว
จากนั้นจึงสอนถึงวิธีการทำงานเป็นทีมแบบทั่วไปให้ฟัง
เขาก็จะทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ง่าย เกิดศรัทธา ลดข้อขัดแย้ง แก่งแย่ง และมี “พลัง” ในการทำงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามกำลังความสามารถ เพราะเขาลดความรู้สึก “สุดโต่ง” ในตัวเขาได้แล้ว
ทุกคนก็มีความสุข องค์กรมีความสุข เพราะมีทีมงานที่มีความสุขนี่เอง
ฝากไว้ให้คิดในการจะทำงานเป็นทีมกันต่อไปครับ

ท้าทายความสามารถกับ ‘มือปืน’(2568) ‘ฟ้า-ษริกา’ขึ้นแท่นนักแสดงนำหญิงเต็มตัว ‘อาร์-อรรถกร’ผันตัวจากเบื้องหลังสู่เบื้องหน้า
‘หนุ่มแท่ง อารามทัวร์’ ชวนเที่ยว จ.ฉะเชิงเทรา กราบหลวงพ่อฟู เกจิชื่อดัง ‘วัดบางสมัคร’
‘มิตรรัก ทั่วไทย’ เอาใจสายหวาน ‘เอ-แป้ง’พาลุยเมืองเพชรบุรี
‘เฟย ภัทร-เจมีไนน์’ พา โชว์วงสวิงกลางวิวฟูจิซังประเทศญี่ปุ่น
‘คุณน้ำผึ้ง’ เลาะริมโขง เที่ยวชุมชนบ้านเดื่อ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี