ความเสี่ยงจากโรคอ้วน
ผู้ป่วยโรคอ้วนมีอัตราการตายสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักเหมาะสมและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหรือเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆตามมา อาทิ โรคเบาหวาน ภาวะต้านอินซูลิน ภาวะความดันโลหิตสูงโรคหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคไต ภาวะไขมันในเลือดสูงโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหายใจลำบาก โรคหยุดหายใจขณะหลับภาวะไขมันสะสมในตับ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคข้ออักเสบ ข้อเสื่อม มะเร็งบางชนิด อาทิ มะเร็งที่ไต มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน รวมถึงการทำให้คุณภาพชีวิตที่ไม่ดีด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนกับโรคไต
โรคอ้วนเพิ่มโอกาสการเป็นโรคไต ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน เสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง มากกว่าคนที่มีน้ำหนักเหมาะสม 2 ถึง 8 เท่า โรคอ้วนส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการเกิดโรคไต ผลของโรคอ้วนจะทำให้ร่างกายเพิ่มการไหลเวียนของเลือดภายในไตเพื่อชดเชยระบบเมตาโบลิสม ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น แรงดันภายในไตเพิ่มขึ้น เกิดการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ เกิดการบาดเจ็บของเนื้อไตและการทำงานของไตลดลง บางรายสัมพันธ์กับการเกิดโรค focal segmental glomerulosclerosis (FSGS) ทำให้มีอาการบวมกดบุ๋ม มีไข่ขาวรั่วในปัสสาวะผิดปกติ
ผลทางอ้อมของโรคอ้วนต่อการเกิดโรคไตคือโรคอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง อาทิ โรคเบาหวาน ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ คนไทยที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กก.ต่อเมตร2 มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ มากกว่าคนที่มีน้ำหนักเหมาะสม 2-3 เท่า
เมื่อตรวจการทำงานของไตในผู้ป่วยโรคอ้วน มักพบมีการทำงานของไตลดลง และหากเกิดภาวะไตเรื้อรังแล้วการทำงานของไตจะลดลงรวดเร็วกว่าผู้ที่เป็นไตเรื้อรังที่น้ำหนักปกติด้วย นอกจากนี้โรคอ้วนยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดนิ่วและมะเร็งที่เนื้อไต(renal cell carcinoma) อีกด้วย
ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนกับโรคไต
เมื่อเริ่มน้ำหนักเกินหรืออ้วนควรทำอย่างไร
โรคไตจากโรคอ้วนเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญที่สุด โดยจะช่วยชะลอความเสื่อมของไตและลดปริมาณไข่ขาวที่รั่วในปัสสาวะได้ มีคนจำนวนมากมักไม่รู้ตัวว่ามีภาวะน้ำหนักเกินและเริ่มอ้วน วิธีการลดน้ำหนักจึงควรเริ่มจากการตระหนักรู้และให้ความสำคัญของปัญหาตั้งแต่เริ่มมีภาวะน้ำหนักเกินก่อนที่โรคอ้วนจะตามมา การจัดการปัญหาโรคอ้วนแนะนำให้ยึดหลัก 3 อ.ได้แก่ 1.อาหาร ควรปรับพฤติกรรมการบริโภคเพิ่มการบริโภคเนื้อปลา ผัก งดน้ำหวาน ของทอด ของมัน ผลไม้ที่มีรสหวานจัด ลดการบริโภคแป้ง ข้าว ลดการบริโภคอาหารรสจัดอาหารที่มีรสเค็มทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ลดการบริโภคอาหารจุกจิกจดบันทึกอาหาร ที่รับประทานควบคุมและคำนวณแคลอรี่อาหารโดยการอ่านฉลากอาหารทุกครั้ง ไม่กินเพราะเสียดายของไม่จ่ายตลาดตอนหิว หลีกเลี่ยงเส้นทางที่แวะซื้ออาหารที่ชอบ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
ผศ.พญ.วรางคณา พิชัยวงศ์
อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลราชวิถี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี