วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในปัจจุบัน พฤติกรรมการบริโภคของคนยุคใหม่ จะให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะจากสถานการณ์ COVID-19 ก็ทำให้หลายครอบครัว หันมาปรุงอาหารรับประทานเอง ทั้งสำหรับครอบครัวและของสัตว์เลี้ยง ซึ่งในการปรุงอาหารเองนั้นเราสามารถเลือกใช้วัตถุดิบที่สะอาด ถูกสุขอนามัย จากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อน เชื้อโรค และสารตกค้างต่างๆ
“เนื้อหมู” ถือเป็นแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่คนไทยนิยมใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงเป็นอาหารนานาชนิด แต่กระนั้น ข่าวลวงที่เผยแพร่กันในโลกโซเชียล ก็ทำให้หลายคนวิตกว่า เนื้อหมูที่เราบริโภคกันจะมี “สารอันตราย” ปนเปื้อนต่างๆ เจือปนหรือไม่ รวมถึงจะมีโรคภัยแฝงมาสู่ร่างกายหรือไม่
สำหรับผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์นั้น ต้องถือเป็นความโชคดีอย่างมากที่มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้ามากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีการยกระดับคุณภาพการผลิตเนื้อสุกร ปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากลอีกด้วย
สำหรับสารปนเปื้อนที่หลายคนกลัวกันว่าจะพบในเนื้อสุกร ก็ได้แก่ “สารเร่งเนื้อแดง” ซึ่งเป็นสารกลุ่ม “เบต้าอะโกนิสต์” ที่จัดเป็นสารอันตรายตาม “ประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พ.ศ.2545” และ “ประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2546” ที่ห้ามมิให้ใช้ในกระบวนการเลี้ยงสัตว์ “อย่างเด็ดขาด” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของทางสหภาพยุโรป (EU) และอีกหลายประเทศ ได้แก่ รัสเซียและจีน ที่มีการห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยด้านอาหารแก่ประชากรอย่างเต็มที่
สารเร่งเนื้อแดง ในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ถือเป็น “ยา” ที่มีใช้ในทางการแพทย์ มีฤทธิ์ในการขยายหลอดลมสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดและหลอดลมอักเสบ ซึ่งหากสารเบต้าอะโกนิสต์ถูกนำไปผสมในอาหารสำหรับเลี้ยงสุกร เพื่อเป็นสารเร่งเนื้อแดงแล้ว ก็จะกระตุ้นให้มีการใช้พลังงานจากไขมัน ลดการสะสมของไขมัน เพิ่มการสะสมโปรตีนในกล้ามเนื้อ เพื่อให้มีเนื้อแดงเพิ่มขึ้น มองดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ย้ำว่า มีอันตรายต่อสุขภาพของทั้งคนและสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมากครับ หากผู้บริโภค (โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว) รับประทานเนื้อหมูที่ปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงแล้ว อาจเกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติ นอนไม่หลับ คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะเป็นอันตรายโดยตรงต่อสตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจเต้นผิดปกติ
สารกลุ่มนี้ มีคุณสมบัติที่ทนต่อความร้อน ทั้งน้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส และน้ำมันที่ 260 องศาเซลเซียส ดังนั้น “การต้มการอบ การทอด หรือการใช้เตาไมโครเวฟ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารกลุ่มนี้ได้”
อย่างไรก็ตาม ในอุตสาหกรรมเลี้ยงสุกรในประเทศไทยในปัจจุบันนั้นค่อนข้างมั่นใจได้ว่า ไม่น่ามีการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยง เพราะเป็นเรื่องที่ “ผิดกฎหมายและมีโทษค่อนข้างสูง” หากพบการกระทำความผิดฝ่าฝืนใช้จะมีโทษหนัก ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีโทษตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับอีกด้วย
หลายท่านคงมีคำถามขึ้นในใจอีกว่า แล้วการบริโภคอย่างไรจึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพล่ะ?
นอกจากผู้บริโภค ยุคนี้ต้องรู้เท่าทันอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงแล้ว ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือสินค้าต่างๆ ผู้บริโภคก็ควรใส่ใจเลือกหาเนื้อหมูที่มีคุณภาพ สะอาด จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อนำมาประกอบอาหาร ซึ่งมีข้อแนะนำเบื้องต้นในการเลือกซื้อเนื้อหมูดังนี้
ประการแรก ผู้บริโภคจะต้องสังเกตที่ “สีของเนื้อ” เนื้อหมูที่ดี จะมีสีตามธรรมชาติ คือ ชมพูเรื่อๆ เนื้อแน่น นุ่ม วาวเป็นมัน ไม่กระด้าง เมื่อตัดชิ้นเนื้อสัตว์เป็นแนวขวางจะเห็นไขมันแทรกระหว่างชิ้นส่วนบริเวณกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน ส่วนเนื้อหมูสามชั้นนั้นจะต้องมีสัดส่วนของมันหมู 1 ส่วนต่อเนื้อแดง 2 ส่วน
หากเนื้อหมูมี “สีแดงเข้มสดเกินไป” เนื้อที่ “แห้ง” กว่าปกติ มีความ “ด้านและกระด้าง” สามารถพิจารณาเบื้องต้นได้ว่า เนื้อหมูนั้น “อาจ” ผ่านการเลี้ยงโดยมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงได้
แต่อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคอาจจะไม่สามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงกับหมูที่ปลอดสารเร่งเนื้อแดงได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการเลือกซื้อเนื้อสุกรสำหรับประกอบอาหาร ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หมูสด “จากผู้ประกอบการ หรือจากแหล่งจำหน่ายที่เชื่อถือได้” และ “ได้รับการรับรองผ่านมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์” ซึ่งผู้ซื้อสามารถสังเกตจากตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK”ที่จุดจำหน่าย ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เลือกซื้อไปนั้น “ปลอดสารเร่งเนื้อแดง และปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ รวมถึงสารตกค้างต่างๆ“
นอกจากที่ผู้บริโภคจะต้องให้ความสำคัญกับการเลือกซื้ออาหารหรือวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยแล้ว ผู้บริโภคก็ต้องใส่ใจในขั้นตอนการเตรียม การปรุง และการเก็บรักษาอาหารอีกด้วย และที่สำคัญอย่าลืมยึดหลักสากลง่ายๆ ในการดูแลตัวเอง คือ “กินอาหารร้อนใช้ช้อนตัวเอง และครื้นเครงกับการล้างมือ” ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้งเพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง ในการดำเนินชีวิตตามวิถีการดำเนินชีวิตแบบใหม่ หรือ New Normal ได้อย่างมีความสุขครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ช่างทำผ้าบาติก ปรับสีผ้าขาวดำ'ลายช่อดอกศรีตรัง' ถวายความอาลัย'พระพันปีหลวง'
อยากอวดแฟนสาว! เช่าชุดตำรวจเต็มยศ เซอร์ไพรส์งานรับปริญญา สุดท้ายเจอข้อหา
'ไอซ์ รักชนก'ฉะกลับ'แขก คำผกา' บอกสงสาร เป็นคนมีความสามารถ อยู่ที่อื่นคงก้าวหน้ากว่านี้
พสกนิกรในโครงการศิลปาชีพ'นาตาดนาโปร่ง' จัดพิธีอาลัยสมเด็จพระพันปีหลวง
ของขวัญล้ำค่า! 'เจมส์ เรืองศักดิ์'ประกาศข่าวดีภรรยาตั้งท้องลูกคนที่ 2

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี