วันจันทร์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
หลายเดือนที่ผ่านมา แฟนหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และคอลัมน์ “Pet Care ดูแลสัตว์เลี้ยง By หมอโอห์ม” คงได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องฝีดาษลิงกันมาตลอด ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ หลายคนก็เกิดความวิตกกังวลกันว่า จะอันตรายหรือไม่? จะมีโอกาสติดต่อกันได้ง่ายหรือไม่? เพราะมีเรื่องโควิด-19 มีเรื่องฝุ่นจิ๋วพิษ PM2.5 รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจมาให้เราเครียดกันแล้ว ยังจะมีฝีดาษลิงมาให้เราตระหนกกันเข้าไปอีกหรือ? ยิ่งเมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคฯก็มีรายงานว่าพบผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษลิงรายที่ 4 ของประเทศไทยอีก ยิ่งทำให้หลายท่านวิตกกังวลกันมากขึ้นไปอีก เรื่องราวเกี่ยวกับฝีดาษลิงเป็นอย่างไร? วันนี้เรามาทำความรู้จัก มาทำความเข้าใจอย่างง่ายๆ เพื่อให้เราพร้อมรับมือแบบไม่ตื่นตระหนกจนเกินไปกันครับ
@ ฝีดาษลิง คืออะไร?
โรคฝีดาษลิง ฝีดาษวานร หรือ Monkeypox นั้น เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสที่ก่อโรคอีกหลายชนิด ได้แก่ไวรัสฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษ (variola virus) และฝีดาษวัว (cowpox virus) โรคนี้พบส่วนใหญ่ในหลายพื้นที่ของแอฟริกากลางเชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิดโดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ (rodent) เช่น แพรี่ด็อก กระรอก หนูป่า และสัตว์ตระกูลลิง(primate) รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคนี้ได้เช่นกัน
โรคนี้มีการรายงานการพบครั้งแรกจากลิงในห้องทดลอง จึงเรียกว่าฝีดาษลิง ทั้งๆ ที่ “ลิง” ไม่ใช่แหล่งกำเนิดของโรคนี้อย่างที่เข้าใจกัน การระบาดที่พบในตอนนี้เกิดในประเทศบนทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรปเป็นส่วนใหญ่
@การติดต่อของโรค
โรคนี้ สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน และแพร่จากคนสู่คนได้อีกด้วย
- จากสัตว์สู่คน สามารถติดต่อได้จากสัตว์ฟันแทะทุกชนิด โดยติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง น้ำหนอง ตุ่มหนองของสัตว์ ผื่นจากสัตว์ การถูกสัตว์ติดเชื้อกัดหรือข่วน การรับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์ติดเชื้อและปรุงไม่สุก หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วยก็ได้
- จากคนสู่คน การแพร่เชื้อจากคนสู่คน แม้มีโอกาส “น้อย” แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ เช่น การไอ จาม รวมถึงผิวหนังที่เป็นตุ่มหนอง ผื่น น้ำหนอง หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อของผู้ป่วยที่มาจากการใช้ของร่วมกันกับผู้ป่วย
@อาการที่พบ
เมื่อคนได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ (อาจถึง 3 สัปดาห์ แต่โดยทั่วไปจะประมาณ 5-14 วัน)
โดยอาการเริ่มแรกที่เห็นได้ชัดคือ มีไข้ ปวดศีรษะ หนาวสั่น เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดกระบอกตา ต่อมน้ำเหลืองโต จากนั้นประมาณ 2-5 วันจะมีผื่นแดงหรือปื้นนูนแดงจำนวนมากขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดที่บริเวณหน้าและลำตัวด้วย จากนั้นผื่นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสขนาดใหญ่ และตุ่มหนอง ซึ่งในช่วงท้ายตุ่มหนองจะแห้ง มีสะเก็ดคลุม แล้วลอกหลุดออกมาความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับ แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต อาการป่วยจะคงอยู่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ โดยอาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก และในรายที่ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนซึ่งอาจทำให้อาการรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้
@การตรวจวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยจะพิจารณาจาก “อาการ” เป็นหลัก โดยเฉพาะ อาการมีไข้พร้อมกับตุ่มน้ำใส ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของโรคฝีดาษลิง ซึ่งจะใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการช่วยยืนยัน โดยการทำการตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยวิธี Real-Time PCR ซึ่งใช้ระยะเวลาการตรวจที่ประมาณ 24-48 ชั่วโมง หรืออาจตรวจยืนยันผลด้วยเทคนิค DNA Sequencing ซึ่งเป็นการตรวจลำดับนิวคลิโอไทด์ โดยจะใช้ระยะเวลาการตรวจประมาณ 4-7 วัน
@การป้องกันโรค
หลักในการป้องกันและควบคุมโรคฝีดาษลิงนั้น ต้องเริ่มต้นด้วย “การป้องกันตนเอง” เป็นหลัก ได้แก่
1.สวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีการแพร่ระบาด
2.หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ หลังจากไปสัมผัสสัตว์เลี้ยง สิ่งของ หรือคนที่ติดเชื้อ รวมถึงเมื่อเดินทางเข้าป่าด้วย
3.หลีกเลี่ยงการใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปาก รวมถึงเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของผู้ป่วย รวมถึงสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือสัตว์ป่าที่อาจเป็นพาหะของโรค
4.หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก หรืออาหารสุกๆ ดิบๆ
5.ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยง รวมถึงไม่นำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการคัดกรองโรค
6.กรณีมีการเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที และทำการแยกกักเพื่อมิให้มีการแพร่กระจายเชื้อ
7.การฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้พอสมควร
ทั้งนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงที่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถควบคุมการระบาดได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษหรือฝีดาษคน ซึ่งสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ประมาณ 85% แต่ประเทศไทยได้ยกเลิกปลูกฝีในเด็กไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 แล้ว เนื่องจากในขณะนั้น ฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษหมดไปจากโลกแล้ว ดังนั้นคนไทยที่เกิดหลังปีพ.ศ. 2523 จะไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษมาก่อน จึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคฝีดาษลิงมากกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ
ขณะนี้องค์การอนามัยโรค (WHO) ยังประเมินโรคนี้ว่า มีความเสี่ยงปานกลางยังไม่เป็นภาวะฉุกเฉิน แม้จะเจอในหลายประเทศ แต่การกระจายไม่เร็ว และมีอาการไม่รุนแรง ยังไม่จำเป็นต้องจำกัดการเดินทางของคน มีเพียงการเตือนให้ระมัดระวังและจัดระบบการเฝ้าระวังเท่านั้น
ขอเน้นย้ำว่า โรคฝีดาษลิงนั้น ไม่ได้ติดต่อกันได้ง่ายๆ ซึ่งจะติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดมากๆ จึงขอให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มความระมัดระวังและงดการสัมผัสใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฝีดาษลิง ดังนั้นหากเรารู้ทันโรคนี้และมีการป้องกันตนเองอย่างรัดกุมแล้ว เราก็จะไม่ตระหนก เพียงแค่ตระหนักรู้ถึงโรคนี้เท่านั้นเองครับ
หมอโอห์ม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ป.ป.ช.ตั้ง'สุชาติ' ปธ.คกก.ไต่สวนแจกกล้วย สส.ช่วงซักฟอก 11 รมต.สมัยรัฐบาล'บิ๊กตู่'
เส้นทางยังอีกไกล! 'สลอต'ลั่นหงส์ไม่ยกธงลุ้นแชมป์
เสียงสะท้อนชายแดนศรีสะเกษ กดดันรัฐ–กองทัพเอาจริง หลังทหารเหยียบระเบิดขาขาด
'THX'ร่วมยินดีงานประกาศรางวัล TikTok Award 2025 ตอกย้ำพลังครีเอเตอร์แห่งปี
ทุ่งกังหันลมวอด! เพลิงไหม้ร้านเช่ารถ ADV บนเขาค้อ สองล้อเสียหาย 2 คัน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี