การผ่าตัดทำหมัน เป็นวิธีการคุมกำเนิดสุนัขและแมวอย่างถาวรที่ดีที่สุดซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน สามารถทำได้ทั้งสัตว์เลี้ยงเพศผู้และเพศเมียการทำหมันนี้ ถือเป็นการควบคุมประชากรสุนัขและแมวได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำหมัน ทั้งในส่วนของข้อดีข้อเสีย การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด รวมถึงการดูแลแผลหลังผ่าตัดมาฝาก ซึ่งเป็นข้อมูลจากจาก สพ.ญ. ธิติดา ภักดีเสน่หา สัตวแพทย์ประจำแผนกสูติกรรม โรงพยาบาลสัตว์เล็ก จุฬาฯ มาฝากกันครับ
การทำหมันสุนัขและแมวทำอย่างไร
การทำหมันสุนัขและแมวเพศผู้จะทำการผ่าตัดอัณฑะทั้ง 2 ข้างออก ที่เรียกว่า Castration ส่วนในเพศเมีย จะนิยมผ่าตัดนำทั้งรังไข่และมดลูกออกไป ที่เรียกว่า Ovariohysterectomy หรือ OVH ช่วงอายุที่เหมาะสม โดยปกติสุนัขเพศเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ที่อายุประมาณ 6-9 เดือน และ 4-12 เดือนในแมวเพศเมีย ส่วนในสุนัขและแมวเพศผู้นั้นจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 6-7 เดือน
เราสามารถทำหมันให้เขาได้ตั้งแต่ ก่อนที่เขาจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือในช่วงที่สัตว์เลี้ยงมีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดที่อายุน้อยกว่านี้ เนื่องจากจะมีความเสี่ยงในการวางยาสลบสูงครับ
ขั้นตอนการเตรียมตัวสัตว์ก่อนการผ่าตัด
เมื่อเราตัดสินใจจะทำมันให้กับสุนัขและแมวของเราแล้ว วิธีการเตรียมตัวก่อนพามาทำหมันมีขั้นตอนดังนี้
- พาสัตว์เลี้ยงมาพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสภาพร่างกายก่อน ซึ่งมีหลักในการพิจารณาดังนี้
o สัตว์มีร่างกายแข็งแรง
o หากเป็นสุนัขเพศเมีย ต้องไม่อยู่ในช่วงแสดงอาการเป็นสัด เนื่องจากจะมีความเสี่ยงในการเสียเลือดจากการผ่าตัดมากกว่าปกติ
o สัตว์เลี้ยงต้องไม่อยู่ในช่วงตั้งท้อง
- การตรวจเลือด เพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดและค่าทางเคมีของเลือดก่อนผ่าตัด ดูความสมบูรณ์หรือความผิดปกติของร่างกาย
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมตามสมควร เช่นการ X-ray ร่วมกับการทำ Ultrasound รวมถึงอาจมีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ร่วมด้วย
- งดน้ำและอาหารก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 8-12 ชม.
การดูแลหลังผ่าตัด
หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วมีหลักการและขั้นตอนในการดูแลหลังผ่าตัดดังนี้
- ให้สัตว์อยู่ในที่อบอุ่น
- ให้นอนในท่าที่หายใจสะดวก ไม่ให้สัตว์นอนคอพับ
- พาสัตว์เลี้ยงไปทำแผลและฉีดยาลดปวดหลังผ่าตัดติดต่อกันอย่างน้อย 2-4 วัน
- แผลผ่าตัดจะหายเป็นปกติและสามารถตัดไหมได้ภายใน 7-10 วันหลังผ่าตัด
- ป้องกันสัตว์เลี้ยงไม่ให้เลียหรือแทะแผล โดยการใส่ปลอกคอกันเลีย หรือ elizabethan collar รวมถึงใส่เสื้อเพื่อป้องกันแผลผ่าตัดด้วย
- และที่สำคัญต้องป้องกันไม่ให้แผลเปียกน้ำ
ประโยชน์ของการทำหมัน
- เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรจึงช่วยคุมประชากรและช่วยลดปัญหาสุนัขจรจัด
- ช่วยลดอุบัติการการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าและโรคติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กันในช่วงติดสัด
- ช่วยป้องกันโรคที่ติดต่อจากการผสมพันธุ์ เช่น โรคแท้งติดต่อ หรือ brucellosis โรคมะเร็งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ หรือ Venereal granuloma (VG) เป็นต้น
- ช่วยป้องกันโรคและความผิดปกติทางระบบสืบพันธุ์ เช่น มดลูกอักเสบ เนื้องอกรังไข่ ถุงน้ำที่รังใข่และมดลูกในสัตว์เลี้ยงเพศเมีย เนื้องอกอัณฑะในสัตว์เพศผู้ และโรคต่อมลูกหมากโต Benign Prostatic Hypertrophy (BPH) ในสุนัขเพศผู้
- ลดโอกาสการเกิดโรคทางระบบสืบพันธุ์ เช่น เนื้องอกช่องคลอดในสัตว์เพศเมีย และการเกิดเนื้องอกเต้านมในสัตว์เพศเมีย โดยจะลดโอกาสได้มากเมื่อทำหมันก่อนการเป็นสัดครั้งแรก
- ช่วยลดความน่ารำคาญจากเสียงร้องในช่วงติดสัดของแมวเพศเมีย
- ช่วยลดพฤติกรรมการปัสสาวะเพื่อแสดงอาณาเขตของสุนัขและแมวเพศผู้
- ลดพฤติกรรมการหนีเที่ยวนอกบ้านของสัตว์เลี้ยงเมื่อเข้าสู้วัยเจริญพันธุ์
ผลข้างเคียงจากการทำหมัน
การทำหมันอาจเกิดผลข้างเคียง หรือลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ได้บ้างดังนี้
- น้ำหนักตัวของสัตว์เลี้ยงที่จะเพิ่มขึ้น (Overweight) ภายหลังการผ่าตัดทำหมัน เนื่องจากระบบเผาผลาญมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และความอยากอาหารมากขึ้นโดยในเฉพาะสุนัขเพศเมีย เจ้าของสัตว์ควรคำนึงถึงเรื่องของอาหารควรปรับโภชนาการให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสุนัขภายหลังการผ่าตัดและเพิ่มการออกกำลังกายของสัตว์เลี้ยงให้มากขึ้น
- ภาวะปัสสาวะเล็ดหลังทำหมัน (Urinary Incontinence)
ซึ่งอาจพบได้ 5-20%ในสุนัขเพศเมียที่ทำหมันแล้ว โดยเฉพาะสุนัขที่มีน้ำหนัก >20 kg ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังการทำหมันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผนังกระเพาะปัสสาวะ หูรูด และท่อปัสสาวะ ทำงานได้ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมจึงมีผลต่อการควบคุมปัสสาวะ
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า การทำหมันนั้น ถือเป็นการควบคุมประชากรของสุนัขและแมวได้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากเจ้าของสัตว์เลี้ยงท่านใดต้องการทำหมันให้กับสุนัขและแมวของท่าน ขอให้ปรึกษาสัตวแพทย์ประจำของครอบครัว และเตรียมพร้อมสุขภาพร่างกายของสัตว์เลี้ยงให้สมบูรณ์ตามที่ได้แนะนำไปแล้วนะครับ
หมอโอห์ม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ และฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี