ฟิลเลอร์ คือ เป็นคำรวมๆ ของสารที่ช่วยทำให้ร่องและริ้วรอยเต็มขึ้น ซึ่งมีหลายประเภทที่นิยมฉีดในปัจจุบัน เช่น hyaluronic acid (หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า สารไฮยา) สารฟิลเลอร์อื่นๆ เช่น ไขมันจากร่างกายเราเอง ซิลิโคน เป็นต้น
แต่ละตัวแตกต่างกันอย่างไร?
สารไฮยา เป็นสารสังเคราะห์ สะดวกหาได้ทั่วไป มีหลายรุ่น โดยทั่วไปแบ่งตามความหนืด ได้แก่ หนืดน้อย หนืดปานกลาง หนืดมาก อยู่ได้ตั้งแต่ 6 เดือนถึงหลักปี ขึ้นอยู่กับความหนืด หากหนืดมากมักจะอยู่ได้นานกว่า
ซิลิโคน ไม่ค่อยนิยมใช้แล้วในปัจจุบัน เนื่องจากในระยะยาวอาจกลายเป็นก้อนใต้ผิวหนังได้
Fat เป็นไขมันของเราเองที่ดูดมาจากไขมันส่วนเกินในร่างกาย ข้อดีคือใช้ได้ปริมาณเยอะนิยมในศัลยกรรมพลาสติก
ฟิลเลอร์เสี่ยงตาบอดได้บ่อยไหม อย่างไร?
เกิดขึ้นไม่บ่อย ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและเทคนิคการฉีด จุดที่เสี่ยงมากที่สุดคือ จมูก และหว่างคิ้ว เนื่องจากเส้นเลือดที่จมูกและหว่างคิ้วจะเชื่อมต่อกับเส้นเลือดจอตา และขึ้นกับเทคนิคการฉีดด้วย หากใช้เข็มแหลมจะมีโอกาสทะลุเส้นเลือดได้มากกว่าเข็มทู่ จึงมีความเสี่ยงมากกว่าเข็มทู่
อาการทางตาที่เกิดขึ้นได้หลังฉีดฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง?
- อาการมักเกิดขึ้นทันที
- หากฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อตา อาจทำให้กลอกตาไม่ได้ หนังตาตก
- หากฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดที่จอตา (เจอบ่อยที่สุด) หากอุดตันเพียงบางส่วนตาจะยังไม่บอดแต่มองเห็นได้น้อยลง แต่หากอุดตันที่ขั้วเส้นเลือดเลี้ยงจอตาจะทำให้ตาบอดถาวรได้
- หากฟิลเลอร์อุดตันท่อน้ำตา จะทำให้ตาแห้งได้ และการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หากใช้ยาหนืดไปอาจทำให้ตาเบลอได้
- เมื่อเทียบระหว่างฟิลเลอร์ชนิดไฮยา กับฟิลเลอร์ไขมัน พบว่าฟิลเลอร์ไขมันมักมีอาการรุนแรงกว่า ทั้งนี้ยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบและรายงานวิจัยที่มากพอ
อาการทางตาหลังฉีดฟิลเลอร์สามารถหายขาดได้ไหม
- หากยังไม่ได้อุดตันเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อตาทั้งหมด การกลอกตาอาจกลับมาปกติได้
- หากอุดตันที่ขั้วเส้นเลือดเลี้ยงจอตา อาจทำให้ตาบอดถาวร
นอกจากที่ตาไปที่อื่นได้ไหม?
- อาจอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้ อาการจึงเหมือนโรคสมองขาดเลือด แต่ไม่เจอบ่อยเท่าฟิลเลอร์เข้าหลอดเลือดที่เลี้ยงจอตา
- ผลข้างเคียงจากฟิลเลอร์ที่พบบ่อยกว่าเข้าเส้นเลือดจอตากับเส้นเลือดสมอง คือ อุดตันหลอดเลือดที่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังขาดเลือดได้
การฉีดโบเพื่อลดริ้วรอย ไม่ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ดังนั้น จะไม่มีความเสี่ยงเรื่องตาบอด
ข้อแนะนำในการฉีดฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย
- เข้ารับการฉีดฟิลเลอร์จากแพทย์ผู้มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม สามารถเช็คชื่อแพทย์ได้ในเว็บแพทยสภา (www.tmc.or.th)
- ระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อ ต้องทำความสะอาดบริเวณที่ฉีดก่อนฉีดฟิลเลอร์เสมอ
- หลังฉีดฟิลเลอร์หลีกเลี่ยงหัตถการที่โดนความร้อน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน ขึ้นกับว่าหัตถการร้อนแค่ไหน หากร้อนมากอาจต้องเลี่ยงถึง 1 เดือน เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์ละลายได้สามารถล้างหน้าได้ปกติหลังฉีดฟิลเลอร์
วิธีการรักษา
- แจ้งแพทย์ที่ฉีดฟิลเลอร์ให้โดยเร็วที่สุด (เวลาที่รักษาได้ผลดีตามรายงาน คือควรมาภายใน 90 นาที แต่ถ้าเกิน 90 นาทีแล้วก็ควรมาพบแพทย์เสมอไม่ควรปล่อยไว้) เนื่องจากแพทย์จะทราบขนาดยาที่ฉีด เทคนิคที่ฉีด และมีข้อมูลส่งต่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรักษาต่อได้
- ไม่มีการรักษาหลัก มีเพียงการรักษาตามอาการ เช่น 1.นวดตาให้สารฟิลเลอร์ที่อุดตันเส้นเลือดหลุดออก โดยใช้นิ้วมือทั้ง 4 นิ้ว (นิ้วชี้ถึงนิ้วก้อย) กดบริเวณตาเป็นเวลา 10 วินาทีค้างไว้ และปล่อยไม่กดตาอีก 10 วินาที ทำประมาณ 3-5 ครั้ง โดยควรทำโดยแพทย์ 2.ใช้เลนส์เฉพาะของจักษุแพทย์ 3.หายใจในถุงกระดาษ เพิ่มการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากจะช่วยทำให้เส้นเลือดขยายตัว4.กินยาลดความดันลูกตา ร่วมกับเจาะระบายน้ำในช่องหน้าม่านตา เพื่อลดความดันลูกตา 5.อาจพิจารณาฉีดยาสลายเพื่อสลายสารไฮยาที่อุดตันหลอดเลือด 6.อาจพิจารณาใช้ออกซิเจนความดันสูง หรือ Hyperbaric oxygen
บรรยายโดย รศ. พญ.ธาริกานต์ สุจิระกุล
ชมรมจอตาและวุ้นตา
รศ. นพ.วาสนภ วชิรมน
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง
จัดทำโดย นศพ.ณิชารีย์ ศรีงาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี