ต้อหินคืออะไร มีกี่ชนิด?
ต้อหินเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการทำลายของเซลล์ชนิดหนึ่งในจอประสาทตา (อาจเรียกว่าเซลล์ปมประสาทตา) ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ โดยเริ่มจากเสียลานสายตาทำให้การมองเห็นค่อยๆแคบลง และจะลุกลาม จนกระทั่งตาบอดได้
โรคต้อหิน สามารถแบ่งได้ตามหลายประเภทดังนี้
1.แบ่งตามอาการแสดงของการเกิดโรคเป็นต้อหินชนิดเฉียบพลัน ชนิดกึ่งเฉียบพลัน และหรือชนิดเรื้อรัง
2.แบ่งตามมุมตา ได้แก่ ต้อหินชนิดมุมเปิด และชนิดมุมปิด
3.แบ่งตามสาเหตุ ได้สองกลุ่มใหญ่คือต้อหินปฐมภูมิ (ไม่มีสาเหตุหรือยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดโรคได้) และต้อหินทุติยภูมิ (มีสาเหตุของการเกิดโรค)
ต้อหินปฐมภูมิ เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในโลก ประมาณว่าในปี ค.ศ. 2020 มีผู้ป่วยต้อหินทั่วโลกจำนวน 76 ล้านคน และภายในปี ค.ศ. 2040 คาดว่าจะมีผู้ป่วยต้อหินเพิ่มขึ้นเป็น 112 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ 90% จะเป็นต้อหินปฐมภูมิ
ต้อหินปฐมภูมิ หมายถึงต้อหินที่ไม่ทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรค มักเป็นทั้ง 2 ตา อาการแสดงมักเป็นแบบเรื้อรัง กล่าวคือ ค่อยๆ ตามัวลงช้าๆ โดยไม่รู้ตัว ส่วนหนึ่งสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ปัจจัยเสี่ยง คือ อายุที่มากขึ้นและความดันตาที่สูง แม้ว่าส่วนใหญ่ของต้อหินปฐมภูมิจะมีความดันตาสูง แต่ก็พบผู้ป่วยต้อหินปฐมภูมิส่วนหนึ่งที่ความดันตาไม่สูง ดังนั้นต้อหินชนิดปฐมภูมิอาจมีความดันตาสูงหรือปกติก็ได้
ต้อหินทุติยภูมิ ส่วนใหญ่มักเป็นแค่ตาข้างเดียว (หากสาเหตุของต้อหินเกิดในตาทั้งสองข้าง ก็พบต้อหินทุติยภูมิเกิดในสองตาได้) มักจะระบุสาเหตุของการเกิดต้อหินได้ซึ่งบางสาเหตุสามารถรักษาได้ในขณะที่บางสาเหตุก็อาจรักษาไม่ได้ อาการแสดงเป็นได้ทั้งแบบเรื้อรัง หรือแบบเฉียบพลัน โดยมากมักไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ที่สำคัญคือต้อหินทุติยภูมิจะมีความดันตาสูงเสมอ การดำเนินโรคมักจะรวดเร็ว ไม่ต้องต้องรออายุมากแล้วถึงค่อยเป็น
สาเหตุของต้อหินทุติยภูมิ สามารถแบ่งเป็นสามกลุ่มใหญ่ คือ
1.จากการโรคตาบางอย่าง เช่น ม่านตาอักเสบต้อกระจก เคยผ่าตัดในตามาก่อน เป็นต้น
2.ปัจจัยภายนอก ได้แก่ อุบัติเหตุต่อลูกตา เช่น การบาดเจ็บทางการกีฬา การทำงาน หรือการคมนาคมต่างๆ ซึ่งส่งผลให้เนื้อเยื่อในตาบาดเจ็บ
เสียหายหรือมีเลือดออกในตา ลักษณะเช่นนี้อาจทำให้เกิดต้อหินทุติยภูมิได้ อุบัติเหตุทางสมองที่รุนแรงถึงขั้นทำให้หมดสติไป บ่งบอกถึงการบาดเจ็บภายในกะโหลกศีรษะ และอาจมีการเชื่อมของหลอดเลือดแดงกับแอ่งเลือดดำในสมอง ทำให้การไหลเวียนของเลือดที่ตาผิดปกติ และเกิดต้อหินทุติยภูมิได้ ผู้ที่มีอุบัติเหตุต่อลูกตาหรือที่ศีรษะอย่างรุนแรงมาก่อนจึงควรจะตรวจคัดกรองต้อหินทุติยภูมิเช่นกัน นอกจากนี้การใช้ยาสเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในรูปแบบยาหยอดตาก็เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของต้อหินทุติยภูมิ
3.เป็นโรคทางร่างกายบางอย่าง เช่น เบาหวาน หากปล่อยให้มีเบาหวานขึ้นตาจนเกิดการสร้างใหม่ของเส้นเลือดจอตาทำให้เป็นต้อหินได้ หรือหากควบคุมความดันโลหิตสูงไม่ดี อาจเกิดเส้นเลือดในจอตาอุดตันแล้วเกิดต้อหินทุติยภูมิจากเส้นเลือดงอกใหม่ในจอตาได้เช่นกัน
ต้อหินป้องกันได้จริงหรือไม่?
เราสามารถป้องกันต้อหินบางชนิดได้ โดยเฉพาะต้อหินทุติยภูมิ เนื่องจากเรารู้สาเหตุการเกิดต้อหินชนิดนี้ และหากสาเหตุนั้นรักษาและป้องกันได้ ก็จะสามารถป้องกันต้อหินทุติยภูมิที่สาเหตุได้
เราจะมีแนวทางในการป้องกันต้อหินทุติยภูมิได้อย่างไร
1.รักษาโรคทางตาที่มีอยู่เดิมให้ดี เช่น ต้อกระจก ม่านตาอักเสบ เป็นต้น รักษาโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานให้ดี ไปตรวจตาว่าเป็นเบาหวานขึ้นตาหรือไม่ ตรวจติดตามโรคทางตากับจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะต้อกระจก ซึ่งจักษุแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าต้อกระจกนั้นสมควรได้รับการผ่าตัดก่อนที่จะเกิดต้อหินทุติยภูมิขึ้นหรือไม่ สำหรับผู้ที่เคยผ่าตัดในตามาก่อน จักษุแพทย์มักนัดติดตามการรักษาต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งก็เพื่อติดตามดูโอกาสการเกิดต้อหินทุติยภูมิ
2.ป้องกันอุบัติเหตุต่อตา โดยเฉพาะจากกีฬาบางประเภท เช่น แบดมินตัน การยิงปืนลม ผู้เล่นควรสวมแว่นนิรภัยเพื่อป้องกันการบาดเจ็บทางตา หรือจากการประกอบอาชีพหรือทำงานบางอย่าง ก็ควรสวมแว่นนิรภัยเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมกระเด็นเข้าตา เช่น ช่างเจียรหิน ช่างก่อสร้าง ผู้ที่ทำสวนและใช้เครื่องตัดหญ้า เป็นต้น หากเคยมีอุบัติเหตุที่ตาหรือที่ศีรษะอย่างรุนแรง ควรจะตรวจตาเป็นระยะอย่างน้อยปีละครั้ง หรือตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ เพื่อวัดความดันตา แม้ว่าการตรวจครั้งแรกจะไม่เจอความผิดปกติ ก็ควรมาตรวจสม่ำเสมอ เนื่องจากโรคต้อหินทุติยภูมิจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้หลังจากเกิดอุบัติเหตุ
3.ไม่ซื้อยาไม่ทราบชนิดมาหยอดตาเอง เพราะอาจมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
l ปกติไม่ควรใช้ยาหยอดตาที่ซื้อเองเกิน 2 สัปดาห์ เนื่องจากหากมีสารสเตียรอยด์ จะทำให้เซลล์ที่ควบคุมความดันตาทำงานเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความดันตาขึ้นได้ และทำลายเซลล์ประสาทตาได้ในที่สุด
l หากหยอดยาทางตาที่ซื้อเองแล้ว 2-3 วันไม่ดีขึ้น ควรหยุดยานั้นและไปพบจักษุแพทย์
l หากหยอดยาทางตาที่ซื้อเองแล้ว แล้วอาการทางตาดีขึ้น ให้รีบหยุดยานั้น ไม่ควรใช้ยาหยอดตาในระยะยาว
l หากหยอดยาทางตาที่ทราบว่ามีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์เกิน 2 สัปดาห์ ควรไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจความดันตา
วิธีปฏิบัติตัวเพื่อชะลอการดำเนินโรคต้อหิน ในผู้ที่เป็นต้อหินอยู่เดิม
l หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ มากกว่า 3 แก้วต่อวันเพราะมีการศึกษาว่าอาจทำให้ความดันตาขึ้นได้
l เลี่ยงออกกำลังกายแบบยกเวทหรือการออกกำลังกายที่มีการเบ่ง เพราะทำให้ความดันตาสูงขึ้นขณะกำลังออกแรงเบ่ง หากชอบเล่นโยคะอาจหลีกเลี่ยงการทำท่าที่ศีรษะอยู่ต่ำ เช่น ท่าศีรษะอาสนะ เพราะอาจทำให้ความดันตาขึ้นได้
l ห้ามกดหรือนวดตา เพราะเป็นการเพิ่มความดันตาโดยตรง ทำให้เป็นอันตรายต่อเซลล์จอประสาทตา
l เลี่ยงการเล่นดนตรีเครื่องเป่าใช้ลมเบ่งเยอะๆอาจทำให้ความดันตาขึ้น
l ไม่ใส่ผูกเนคไทแน่นเกินไป มีผลให้ความดันตาขึ้นได้
l ไม่มีอาหารเสริมใดๆ ที่ช่วยป้องกันหรือช่วยควบคุมโรคต้อหิน จึงไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเสริมใดๆ
l ให้ควบคุมโรคประจำตัว เช่น ความดันสูงและเบาหวานให้ดี ความดันโลหิตที่ต่ำเกินไปก็อาจมีผลเสียต่อโรคต้อหินเช่นกัน
บรรยายโดย
ผศ.นพ.วสุ ศุภกรธนสาร
ชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย
จัดทำโดย นศพ.ณิชารีย์ ศรีงาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี