คนทั่วไปจะรู้จักเชื้อไวรัสหลายชนิดที่ก่อโรคในระบบการหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่างได้ดีโดยเฉพาะเชื้อโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก ปัจจุบันขอแนะนำเชื้อไวรัสอีก 1 ตัวที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่างที่พบได้บ่อย บางรายติดเชื้อและป่วยรุนแรงจนต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาบาล ขณะนี้เรามีวัคซีนและโมโนโคลนอล แอนติบอดีมาช่วยลดความรุนแรงของโรคนี้ได้แล้วโดยเฉพาะในทารกและผู้สูงวัย เชื้อไวรัสตัวนี้คือเชื้อไวรัส Respiratory syncytial virus (RSV) เชื้อแบ่งตามแอนติเจนได้เป็น 2 กลุ่มคือ A และ B เชื้อแพร่กระจายผ่านละอองขนาดเล็กใหญ่ และผ่านละอองน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม หรือผ่านการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเช่น มือ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทั้งที่ทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง อาการมีตั้งแต่เล็กน้อย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ ไปจนถึงหายใจลำบาก หายใจเร็วหรือหอบ ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลและใช้เครื่องช่วยหายใจโดยเฉพาะในเด็กทารกคลอดก่อนกำหนด ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคหอบหืดและปอดเรื้อรัง รวมทั้งคนที่อ้วนมาก RSV เป็นเชื้อโรคหลักที่ทำให้เด็กต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างและเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตในทารกจากโรคติดเชื้อไวรัสในระบบหายใจ หลักฐานจากการศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าการติดเชื้อ RSV ที่รุนแรงในช่วงวัยทารกมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคหืดในวัยเด็กตอนโตแล้ว
ข้อมูลจากต่างประเทศพบว่า การเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อ RSV เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดีในสหรัฐอเมริกาและยุโรปประมาณร้อยละ 3-7 ต่อปี ในสหรัฐอเมริกามีผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประมาณ 177,000 รายและเสียชีวิตประมาณ 14,000 รายต่อปี ความรุนแรงของโรคในผู้สูงอายุที่ถูกรับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลพบว่า มีถึงร้อยละ 18 ที่ต้องรับเข้าไปรักษาในหออภิบาล, ร้อยละ 31 ได้รับการบริการดูแลสุขภาพต่อที่บ้านหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาลแล้ว และร้อยละ 26 เสียชีวิตภายใน 1 ปีหลังเข้ารับการรักษา ในประเทศสเปนพบว่าฤดูกาลปี 2564 ถึง 2565 มีการระบาดของโรคติดเชื้อ RSV จนทำให้เกิดการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลปฐมภูมิประมาณหนึ่งล้านครั้ง และมีการเข้ารักษาในโรงพยาบาลด้วยโรค RSV จำนวน 23,000 ครั้ง ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า การติดเชื้อ RSV เกิดขึ้นบ่อยครั้งและเป็นภาระด้านสุขภาพอย่างมากในประเทศสเปนและประเทศต่าง ๆทั่วโลก
โรคนี้ทำให้สมาชิกในครอบครัวตั้งแต่ผู้ปกครอง พี่น้อง ต้องกลายเป็น“ผู้ป่วยมือสอง” เพราะต้องติดตาม ดูแลผู้ป่วยที่เป็นทารก เด็กเล็ก หรือผู้สูงวัยที่มารับการบริการทางการแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลแบบคนไข้นอกหรือโอพีดี และบางรายป่วยรุนแรงจนต้องรักษาในโรงพยาบาล การระบาดของเชื้อ RSV เกิดขึ้นบ่อยในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายนของทุกปี ข้อมูลในประเทศไทย ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 จากนายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล กล่าวว่าข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรคดิจิทัล (Digital Disease Surveillance: DDS) กองระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 21 กรกฎาคม 2568 พบว่า มีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัส RSV 1,631 ราย ยังไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยบ่อย 3 อันดับแรก เป็นกลุ่มอายุ 0-4 ปีจำนวน 1,246 ราย รองลงมาคืออายุ 5-9 ปี 141 ราย และอายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวน 60 ราย แน่นอนว่าหากมีเครื่องมือช่วยตรวจแบบ ATK ในการวินิจฉัยโรคนี้ เชื่อว่าจะพบผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นกว่าที่รายงานนี้อย่างแน่นอน
หลังจากรอคอยมานาน เราก็เริ่มมีวัคซีนมาใช้ป้องกันโรคและลดความรุนแรงของอาการต่าง ๆ ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริการับรองแล้วมี 3 ขนานคือ Arexvy®, Abrysvo®, และ mRESVIA® ประเทศไทยจะมีวัคซีน 2 ขนานแรก ข้อมูลจากงานวิจัยทำให้มีข้อบ่งใช้ต่างกันเล็กน้อยเช่น Arexvy® ใช้ฉีดในผู้ใหญ่อายุ 60 ปีหรือมากกว่าและอายุ 50-59 ปีในผู้ที่เสี่ยงสูงที่จะป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อ ผู้ที่เสี่ยงสูงคือ กลุ่ม 608 ผู้ที่อ้วนมาก ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและน่าจะรวมผู้ติดสุราเรื้อรังด้วย ส่วน Abrysvo® และ mRESVIA® ใช้ฉีดในผู้ใหญ่อายุ 60 ปีหรือมากกว่าและผู้ที่มีอายุ 18-59 ปีที่เสี่ยงสูงที่จะป่วยรุนแรง นอกจากนี้วัคซีน Abrysvo® ยังมีข้อบ่งใช้ในการฉีดมารดาในช่วงอายุครรภ์ 32-36 สัปดาห์เพื่อกระตุ้นให้มารดาสร้างภูมิคุ้มกัน IgG แล้วถ่ายทอดผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกมีภูมิคุ้มกันป้องกัน RSV ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือนแรกได้ด้วย เป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ครั้ง ทำให้มารดาและลูกมีภูมิคุ้มกันต่อโรคติดเชื้อ RSV
ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนในโรคติดเชื้อ RSV มีดังนี้
วัคซีน Arexvy® มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากไวรัส RSV ในผู้ใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกัน RSV-LRTD ที่ร้อยละ 52.6 และป้องกันภาวะ RSV-LRTD รุนแรง (Severe RSV-LRTD) ที่ร้อยละ 94.1 หลังการติดตามนานโดยเฉลี่ย 6.9 เดือน และยังคงมีประสิทธิภาพป้องกันโรคในระยะยาว ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงเล็กน้อยและชั่วคราว เช่น อาการปวดบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
เมื่อติดตามประสิทธิภาพของวัคซีนนานถึง 17.8 เดือนหรือ 2 ฤดูกาลของการระบาดของโรค RSV พบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับการป้องกัน RSV-LRTD อยู่ที่ร้อยละ 74.5 และ severe RSV-LRTD อยู่ที่ร้อยละ 82.7 และประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสำหรับกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว 1 โรคคือร้อยละ 74.5
เมื่อติดตามผู้ฉีดวัคซีนไปนานถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกันของการระบาดของเชื้อ RSV พบว่าประสิทธิภาพสะสมของการลด RSV-LRTD หลังการฉีดเข็มเดียวอยู่ที่ร้อยละ 62.9 และลด severe RSV-LRTD ได้ร้อยละ 67.4 ซึ่งก็ยังถือว่าอยู่ในระดับดี
แนะนำให้ฉีดในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปทุกรายและในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ถึง 59 ปีที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อ RSV
วัคซีน Abrysvo® มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากไวรัส RSV ในผู้ใหญ่และทารก การศึกษาในผู้ใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 34,284 ราย พบว่า สามารถลดอัตราการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ RSV โดยผู้ป่วยมีอาการอย่างน้อย 2 และ 3 อาการขึ้นไปได้ประมาณร้อยละ 67 และ 86 ตามลำดับ และลดอัตราการเจ็บป่วยแบบเฉียบพลันจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ร้อยละ 62 ฤทธิ์ไม่พึงประสงค์พบน้อยและใช้ได้อย่างปลอดภัย เมื่อติดตามผู้ฉีดวัคซีนต่อไปในฤดูกาลที่มีการระบาดของ RSV ติดต่อกัน 2 ฤดูพบว่าการฉีดวัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อทั้ง RSV เอ และ บี (RSV-LRTD) ได้ที่ร้อยละ 77.8 ส่วนในมารดาที่ฉีดวัคซีนชนิดนี้สามารถลดการติดเชื้อ RSV ที่รุนแรง (severe RSV-LRTD) ในทารกหลังคลอดได้ร้อยละ 81.8 และ 69.4 หลังทารกคลอดได้ 90 และ 180 วันตามลำดับ
ผลข้างเคียงมีเล็กน้อยและเป็นอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถือว่าเป็นวัคซีนมีความปลอดภัยสูงเช่นกัน
ปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความจำเป็นสำหรับการฉีดวัคซีนซ้ำหลังจากเข็มแรก สำหรับผู้สูงอายุที่เคยติด RSV นั้นสามารถฉีดวัคซีน RSV ได้ 1 เข็มเมื่อหายจากโรค RSV
เนื่องจากโรคติดเชื้อ RSV เกิดได้ในทารกและสามารถก่อความรุนแรงในระบบทางเดินหายใจได้ จึงมีการผลิตโมโนโคลนอล แอนติบอดี เป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปขึ้นมาใช้ หรือฉีดวัคซีนให้มารดาที่ตั้งครรภ์เพื่อผลิตแอนติบอดีแล้วส่งผ่านรกไปให้ทารก วัคซีน Abrysvo® สามารถนำใช้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ได้ แต่ถ้ามารดาไม่ได้ฉีดวัคซีนนี้มาก่อนหรือคลอดลูกก่อนที่จะได้ฉีดวัคซีนนานเกิน 14 วัน ก็ยังมีโมโนโคลนอล แอนติบอดีที่มีระยะกึ่งชีพยาว(421 ถึง 172 วัน) 2 ชนิดที่ป้องกันทารกจากการติดเชื้อ RSV ที่รุนแรงได้ ยา 2 ขนานนี้คือ Nirsevimab และ Clesrovimab ซึ่งมาใช้แทนที่ยาเก่า Palivizumab ยาทั้งคู่ใช้ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียวสำหรับทารกอายุน้อยกว่า 8 เดือน แต่ Nirsevimab ยังมีข้อมูลที่แนะนำใช้ในฤดูกาล RSV ครั้งที่ 2 สำหรับทารกกลุ่มเสี่ยงสูงอายุ 8 ถึง 19 เดือน ยา Nirsevimab มีใช้ฉีดทั้งขนาด 50 มิลลิกรัมในทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 5 กิโลกรัม และฉีด 100 มิลลิกรัมสำหรับทารกน้ำหนักตัวตั้งแต่ 5 กิโลกรัมขึ้นไป ยาขนานนี้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยแล้ว ส่วนยา Clesrovimab ฉีดในขนาดเดียวคือ 105 มก. ควรฉีดยานี้ก่อนเข้าฤดูฝนก่อนช่วงที่โรคนี้จะระบาด
ทารกและเด็กเล็กโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะป่วยรุนแรงสูงเช่น ทารกแรกเกิด, เด็กที่คลอดก่อนกำหนด, เด็กที่มีโรคปอด โรคหัวใจแต่กำเนิด หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, และเด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรฉีดยานี้ในช่วงก่อนฤดูระบาดของ RSV ยังไม่แนะนำให้ฉีดยาขนานนี้เพื่อป้องกันเชื้อ RSV ในทารกที่มีอายุ 8 เดือนขึ้นไปที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อ RSV โดยเฉพาะในทารกหรือเด็กที่มีอายุเกิน ๒๔ เดือนขึ้นไป ยกเว้นทารกที่มีโรคหัวใจพิการหรือหลอดลมผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หรือทารกที่มีความบกพร่องในการสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgG ตั้งแต่เกิดและเสี่ยงสูงที่จะเกิดปอดอักเสบรุนแรงจากการติดเชื้อ RSV
รายละเอียดของข้อมูลจากการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาโมโนโคลนอล แอนติบอดี ในโรคติดเชื้อ RSV มีดังนี้
ประสิทธิภาพของ Nirsevimab (Beyfortus®) ในการลดความรุนแรงของการติดเชื้อ RSV ในทารกดังนี้
ยาอีกขนานหนึ่งที่มีให้เลือกแต่ยังไม่ขึ้นทะเบียนยาในประเทศไทยคือ clesrovimab-cfor (Enflonsia®)
ประสิทธิภาพของ clesrovimab-cfor ในการลดความรุนแรงของการติดเชื้อ RSV ในทารกมีดังนี้
ยาขนานนี้มีอายุกึ่งชีพนานประมาณ 421 วัน การฉีดยา clesrovimab-cfor ขนานนี้เข้ากล้ามมีความสะดวกตรงที่ใช้ขนาดเดียวในทารกแรกเกิดหรือทั่วไป คือฉีด 105 มิลลิกรัมเข้ากล้ามครั้งเดียวโดยไม่ต้องปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัวทารก
เนื่องจากยังไม่ได้มีการศึกษาในการป้องกันการติดเชื้อ RSV ในฤดูกาลครั้งที่สอง จึงยังไม่มีคำแนะนำให้ใช้ยาขนานนี้ในทารกอายุเกิน ๘ เดือน
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยตีพิมพ์*ในเดือนกันยายน ๒๕๖๘ เร็ว ๆ นี้เองที่ยืนยันว่า ยาพ่นจมูกอะเซลาสทีน(azelastine)ที่เคยใช้กันมานานสำหรับบรรเทาอาการภูมิแพ้ที่จมูก เช่น น้ำมูกไหล คันจมูก จาม และเสมหะไหลลงคอ(post-nasal drip) ซึ่งมีตัวยาอะเซลาสทีน(azelastine) ที่ออกฤทธิ์ต้านฮีสตามีน พบว่ายาขนานนี้ยังสามารถออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ทุกสายพันธุ์(สายพันธุ์ D614G, อัลฟา, เบตา, เดลตา และโอไมครอน BA.1) ทำให้ไม่ติดเชื้อโควิด-19 หรือบรรเทาอาการติดเชื้อโควิด-19 ได้ดี กลไกการออกฤทธิ์อาจเกี่ยวข้องกับการยับยั้งกระบวนการออกฤทธิ์ของฮีสตามีนและออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสโดยตรง นอกจากเชื้อโควิด-19 ยาพ่นจมูกอะเซลาสทีนยังออกฤทธิ์ต่อต้านการติดเชื้อไรโนไวรัส (rhinovirus) ที่ก่อโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจบ่อย ๆ ได้ด้วย กระบวนการออกฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไรโนไวรัส อาจเกิดจากการยับยั้ง ICAM-1 ซึ่งเป็นตัวรับหลักของเชื้อไรโนไวรัสที่จะเข้าไปในเซลล์บุโพรงจมูกด้วย
โดยสรุป ยาพ่นจมูกอะเซลาสทีนสามารถลดการติดเชื้อทั้งเชื้อโควิด-19 (ลดเหลือ 0.31 เท่า) บรรเทาอาการให้หายเร็วขึ้นในผู้ติดเชื้อโควิด-19 และลดการติดเชื้อไวรัสหวัดชนิด rhinovirus ได้ด้วย
นี่แหละครับ ที่ทำให้พวกหมอเราต้องมีการศึกษาต่อเนื่องเพื่อติดตามวิทยาการให้ทันสมัยและนำมาความรู้ใหม่นี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทย
*เอกสารอ้างอิง
Lehr T, Meiser P, Selzer D, et al. Azelastine Nasal Spray for Prevention of SARS-CoV-2 Infections: A Phase 2 Randomized Clinical Trial. JAMA Intern Med. Published online September 02, 2025. doi:10.1001/jamainternmed.2025.4283
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี