3 กรกฎาคม สื่อมวลชนรายงานว่า ที่วัดพระธรรมกาย มีกิจกรรมทำบุญบูชาข้าวแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้อัญเชิญพุทธปฏิมากรมาประดิษฐานไว้บนโต๊ะหมู่บูชา แล้วนำภัตตาหารอันประณีตและดอกไม้ธูปเทียนมาถวายบูชา ประดุจพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่
1) ถ้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ dmc.tv ของทางวัดพระธรรมกาย ให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ถึงพิธีกรรมนี้ว่า
“...การบูชาข้าวแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถือกันว่าเป็นการสร้างบุญใหญ่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสไว้ถึงอานิสงส์ของการให้ทานว่า “แม้ให้ทานแด่สัตว์เดรัจฉาน มีอานิสงส์ถึง 100 เท่า ให้ทานแด่บุคคลผู้ทุศีลมีมือเปื้อนเลือด ได้อานิสงส์ 1,000 เท่า ให้ทานแด่ผู้ที่มีศีล 5 บริสุทธิ์ ในคราวที่ไม่มีพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น ได้อานิสงส์ถึง 100,000 เท่า... ให้ทานแด่ผู้ปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ก็ได้อานิสงส์มากขึ้นกว่านั้นไปอีกหลายเท่า ให้ทานแด่พระอรหันต์ได้อานิสงส์นับเท่าไม่ถ้วน ให้ทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพิ่มปริมาณของบุญกุศลที่จะเกิดขึ้นอีกนับเท่าไม่ถ้วนเลย
เพราะฉะนั้น การที่จะมีโอกาสได้ถวายทาน ตักบาตร ทำบุญ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโอกาสที่บังเกิดขึ้นได้ยากใครได้มีโอกาสอย่างนี้ถือว่าเป็นบุญมหาศาล บุญนี้จะติดตัวไปนับภพนับชาติทีเดียว”
2) รายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมดังกล่าว แบบที่พิสดารลึกไปกว่านั้น
ในเว็บไซต์กัลยาณมิตร เครือข่ายธรรมกาย http://www.kalyanamitra.org ถึงขนาดเคยมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ “ทำบุญบูชาข้าวพระตลอดชีวิต” ระบุว่า
“ทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน คลื่นสาธุชนผู้มีกุศลศรัทธาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างเดินทางมาที่วัดพระธรรมกาย เพื่อมาร่วมประกอบพิธีบูชาข้าวพระ
การบูชาข้าวพระ คือ การน้อมนำเอาเครื่องไทยธรรม อันมีดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาว ซึ่งเป็นของหยาบ มากลั่นให้เป็นของละเอียด เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยอาศัยอานุภาพของวิชชาธรรมกาย จากการปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงพระธรรมกาย ของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร), คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาทองสุก สำแดงปั้น, คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งท่านได้ถ่ายทอดวิชชาธรรมกาย ให้แก่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย เป็นผู้นำในการบูชาข้าวพระในครั้งที่ยังเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และพิธีบูชาข้าวพระนี้ ได้ทำอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 50 ปี
ผู้เข้าร่วมพิธีบูชาข้าวพระเป็นประจำทุกเดือน จะได้อานิสงส์ใหญ่อันไม่มีประมาณ
ขอเรียนเชิญท่านผู้มีกุศลศรัทธา สามารถเข้าร่วมพิธีบูชาข้าวพระได้ทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน ที่วัดพระธรรมกาย และสมัครร่วมโครงการบูชาข้าวพระตลอดชีวิต เพื่อมีส่วนร่วมในการบูชาข้าวพระทุกเดือน จวบจนตลอดชีวิต... (เบอร์โทร...)”
3) อ่านข้อความประชาสัมพันธ์ของทางธรรมกายแล้ว ย่อมเข้าใจได้ว่า มาทำบุญถวายข้าวพระวัดพระธรรมกายนี้ เป็นโอกาสได้ถวายทาน ตักบาตร ทำบุญ แด่พระพุทธเจ้า บุญมหาศาล
ในทางการตลาด คือ การสร้างจุดขาย จุดแตกต่างที่เหนือกว่าวัดอื่นๆ
จะถือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ เกินเลยความจริง ขัดแย้งพระธรรมวินัย หรือไม่?
พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว
ถ้าวัดอื่นๆ อยากให้คนมาทำบุญเยอะๆ จะใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อว่า มาที่วัดของตนเองแล้วท่านจะได้ตักบาตรแด่พระพุทธเจ้า ได้บุญมหาศาล จะได้หรือไม่? สมควรหรือไม่? จะผิดพระธรรมวินัยหรือไม่?
4) พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) เขียนไว้ในหนังสือกรณีธรรมกาย ระบุถึงปัญหาของวัดพระธรรมกาย ส่วนที่กระทบต่อพระธรรมวินัย ชี้ชัดว่า
“สำนักวัดพระธรรมกาย เผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น
1. สอนว่านิพพานเป็นอัตตา
2. สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกาย ที่เป็นตัวตนเป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตน-นิพพาน
3. สอนเรื่องอายตนนิพพาน ให้เข้าใจผิดต่อนิพพาน เหมือนเป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น
คำสอนเหล่านี้ ทางสำนักสายวัดพระธรรมกายคิดขึ้นใหม่ เป็นของนอกธรรมนอกวินัยของพระพุทธเจ้า
แต่แทนที่จะสอนไปตามตรงว่าเป็นลัทธิของครูอาจารย์ ทางวัดพระธรรมกายกลับพยายามนำเอาคำสอนใหม่ของตนเข้าใส่แทนที่หลักคำสอนเดิมที่แท้ของพระพุทธศาสนา
ยิ่งกว่านั้น เพื่อหาทางให้ลัทธิของตนเข้าแทนที่พระธรรมวินัยได้สำเร็จ สำนักวัดพระธรรมกายยังได้เผยแพร่เอกสารที่จ้วงจาบพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฎกบาลี ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ให้เข้าใจว่าพระไตรปิฎกบาลี บันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เชื่อถือหรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้, ให้นำเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ เช่น พระไตรปิฎกภาษาจีน และคำสอนอื่นๆ ภายนอกมาร่วมวินิจฉัยพระพุทธศาสนาเถรวาท ฯลฯ”
5) พระธรรมปิฎก ยังได้ชี้ลงไปชัดๆ ด้วยว่า
“ประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยก็ร้าย แต่ทำพระธรรมวินัยให้วิปริตร้ายยิ่งกว่า
ปัญหาเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายที่กำลังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นี้มีหลายเรื่อง แยกได้หลายแง่หลายประเด็น เช่น เรื่องความประพฤติส่วนตัวของพระ เรื่องการดำเนินงานขององค์กร คือวัดและมูลนิธิ เกี่ยวกับการครอบครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เป็นต้น ตลอดจนการดำเนินธุรกิจต่างๆ การแสวงหาเงินทอง โดยวิธีซึ่งเป็นที่สงสัยว่าจะไม่ถูกต้อง ในแง่กฎหมายบ้าง ในแง่พระวินัยบ้าง โดยเฉพาะการยกอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขึ้นมาเผยแพร่ในลักษณะที่เป็นการชักจูงให้คนบริจาคเงิน การใช้วิธีกึ่งเกณฑ์ให้เด็กนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนข้าราชการ เป็นต้น จำนวนมากๆ มาร่วมกิจกรรม โดยมีเป้าหมายที่น่าสงสัยว่าจะมุ่งไปที่การให้บริจาคเงินหรือไม่ ตลอดจนในที่สุดก็คือ ปัญหาที่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยโดยตรง โดยเฉพาะการแสดงหลักการของพระพุทธศาสนาเรื่องนิพพานเป็นอัตตา และเรื่องธรรมกาย
ปัญหาทั้งหมดนั้น ล้วนมีความสำคัญ และจะต้องแก้ไขด้วยวิธีที่เหมาะสมให้ถูกต้องแต่ละอย่าง แต่เมื่อพิจารณาในแง่ของการดำรงรักษาพระศาสนา ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือปัญหาเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ซึ่งกระทบถึงหลักการของพระพุทธศาสนา
พูดให้เข้าใจง่ายว่า การทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย
ยกตัวอย่างด้านพระวินัย ถ้าพระภิกษุประพฤติผิดพระวินัย ต้องอาบัติปาราชิก เรียกว่าประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย ก็ต้องแก้ไขโดยดำเนินการลงโทษไปเป็นการส่วนเฉพาะบุคคล แต่ถ้ามีพระภิกษุยึดถือประกาศขึ้นมาหรือเผยแพร่ว่า การต้องอาบัติปาราชิกไม่ผิดพระวินัย ก็เป็นปัญหาถึงขั้นทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ถึงกับทำให้เกิดมีการสังคายนา...”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี