จากภาพปริศนาภาพเดียว ว่าภาพการนั่ง“ผูกข้อต่อแขน” หน้าเงินกองโตบนพานทอง พร้อมรายละเอียดข่าว ซึ่งมีต้นตอมาจากโซเชียลมีเดียว่า ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผันตัวจากเวทีระดับชาติไปดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หอบเงินไปแต่งกับนักเรียนสาว ม.5 ลุกลามมาถึงข่าว “จับนักข่าวแก้ผ้า” และกลายมาเป็นเรื่อง “ผมคุกคามสื่อหรือสื่อคุกคามผม” จนนำมาสู่การ “เล่นใหญ่” ให้ กสทช. ปิดสื่อและเรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดำเนินการปฏิรูปสื่อด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ “จบไม่ลง” และ “ไกลจากจุดเริ่มต้น” ขึ้นมาทุกทีแล้ว
ล่าสุด ประเด็นถูกลากพาไปจนถึงขั้นที่ว่า มีการเมืองท้องถิ่นเข้ามาแทรกแซง หมายทำลาย นพ.เปรมศักดิ์ เลยทีเดียว จนนำมาสู่สภาพที่ต่างฝ่ายต่าง “สาวไส้” และลากกองเชียร์เข้ามาชักคะเย่อกัน อันไม่ได้เป็นผลดีใดๆ กับตัว นพ.เปรมศักดิ์ เลย แม้แต่น้อยนิด
เราลองมาไล่ประเด็นที่สำคัญ เพื่อจะไต่สวนทวนความเรื่องนี้กันดูครับ
1) สถานภาพทางสังคมของ นพ.เปรมศักดิ์ นั้น ถูกจัดไว้เป็น “บุคคลสาธารณะ” ใช่หรือไม่ ตอบว่า ใช่ ดังนั้น บุคคลสาธารณะ เวลากระดิกตัวไปทำอะไร ก็มักจะ “เป็นข่าว” อยู่เสมอดังนั้น การที่นักข่าวไปทำข่าว นพ.เปรมศักดิ์ เป็นเรื่องการ “คุกคาม”กัน ใช่หรือไม่ ผมคิดว่าไม่น่าใช่เสียทีเดียวหรอกนะครับ
2) ปกติ นพ.เปรมศักดิ์ ไม่ใช่ “คนขวัญอ่อน” ต่อการเป็นข่าวมิใช่หรือครับ นพ.เปรมศักดิ์ ก็เหมือนกับ “นักการเมือง” และบุคคลสาธารณะอีกไม่น้อย ที่ “คุ้นเคย” กับการ “เป็นข่าว” และสำหรับบางคน บางช่วงเวลา ถึงกับสร้างแกระแสข่าวขึ้นมาเลยก็มี เช่น บางคนสร้างสถานการณ์ ปาระเบิดใส่บ้านตัวเอง ให้เป็นข่าว ให้น่าสงสาร ให้เกิด “คะแนน” บางอย่างขึ้นมาก็เคยมี
3) แต่เรื่องภาพตามที่ข่าวขณะนี้ ยังสาธยายว่า เป็นการ “สู่ขอ” บ้างก็บอกว่าเป็นการ “หมั้นหมาย” บ้างก็บอกว่าเป็นการ “แต่งงาน” กับเด็กสาว ม.5 นั้น คงไม่ใช่เรื่องที่ท่านอยากให้ “เป็นข่าว” แน่ๆ เพราะมันเป็น “เรื่องส่วนตัวมากๆ” สังเกตได้ว่า เรื่องไหนที่ นพ.เปรมศักดิ์ อยากให้สังคมรู้ เขาก็นำไปโพสต์ในเฟซบุ๊ค “ดร.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ” อยู่แล้ว ไม่มีปิดบัง เขาเปิดเผยแม้กระทั่งตารางการทำงานในบางวันของเขา และดูจากเฟซบุ๊คเขา ดูเหมือนวันๆ เขาทำแต่งาน และเป็นงานที่มีประโยชน์ต่อ “ส่วนรวม” ทั้งสิ้น จึงไม่น่าแปลกใจหรอกว่า ทำไมในพื้นที่บ้านไผ่ และขอนแก่น จึงมีคนนิยมชมชอบ และเข้ามาให้กำลังใจ นพ.เปรมศักดิ์ กันอย่างมากมาย
4) เช่นนั้นแล้ว ทำไมภาพซึ่งสุดแสนจะเป็นเรื่องส่วนตัวจึงถูกเผยแพร่ ก็ต้องตอบว่า มันเริ่มมาจากโซเชียลมีเดีย ซึ่ง
คาดว่า ภาพดังกล่าวน่าจะถูกถ่ายโดยคนที่อยู่ในงานดังกล่าวนั่นแหละ เพราะเป็นเพียงงานง่ายๆ (ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัว และข้าวของเครื่องใช้ที่ปรากฏในภาพ) ไม่ได้เกิดจากภาพที่ “นักข่าวถ่ายเอง” หรอก แต่ภาพนี้มัน “ถูกขยายให้คนรู้-เห็น-โจษจัน” มากขึ้น เมื่อสื่อระดับชาติอย่างหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นำขึ้นมาเสนอ ทั้งในระบบออนไลน์และบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ เรื่องดังกล่าวจึงถูกยกระดับมาเป็นเรื่อง “ส่วนรวม” ในทันที
5) เหตุที่เรื่องดังกล่าว ถูกยกขึ้นเป็น “เรื่องใหญ่” เป็น “ธุระของสื่อ” และ “เรื่องที่คนส่วนใหญ่ติดตาม” ไม่ได้อยู่ที่เป็นหนังสือหรือสื่อใดนำมาเสนอแค่อย่างเดียว แต่มันมี “ประเด็น” สำคัญที่คนต้องการคำตอบรวมอยู่ด้วย นั่นคือ ภาพนั้นเป็นภาพ “การแต่งงาน” ใช่หรือไม่ เด็กสาวในภาพ เป็นเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี ใช่หรือไม่ หากเป็นการแต่งงานจริงๆ แต่งกับเด็กที่อายุยังไม่ถึง 18 ได้หรือ และคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ นพ.เปรมศักดิ์ มีเมียอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หากเป็นการหมั้นหมายหรือการแต่งงานจริงๆ จะเป็นการ “สมรสซ้อน” หรือไม่ ตรงนี้เอง ที่เป็นการ “เปิดประตูเชื้อเชิญ” ให้สื่อเข้ามาทำหน้าที่ “หาข้อเท็จจริง” เพื่อจะกลับไปตอบคำถามที่ค้างคาใจคนทั่วไป
6) เพราะเป็นบุคคลสาธารณะที่มีภรรยาอยู่แล้ว แล้วมาถูกระบุว่า แต่งงานกับเด็กอายุไม่ถึง 18 ปี เรื่องนี้จึงถูก “ยกระดับ” ขึ้นเป็นเรื่อง--
6.1 การจรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าใช่งานแต่งหรือเปล่า
6.2 ถ้าใช่ ผิดหรือถูกกฎหมาย ในการมีความสัมพันธ์ สู่ขอ เด็กสาวอายุยังไม่ถึง 18 ปีเป็นภรรยา
6.3 และถ้ามีเมียอยู่ก่อนแล้ว นี่เป็น “ความบกพร่องทางจริยธรรม” ใช่หรือเปล่า
ซึ่งหาก นพ.เปรมศักดิ์ หยุดเรื่องไว้แค่ประเด็นเหล่านี้ แล้วตอบใน “ข้อเท็จจริง” เช่น ไม่ได้แต่ง แต่เป็นงานอะไรสักอย่างก็อธิบายมา เรื่องมันก็จบ ว่าโซเชียลมีเดียต้นทางที่เผยแพร่ให้ข้อมูลผิดซึ่ง นพ.เปรมศักดิ์ ก็มีสิทธิ์จะดำเนินคดีกับสื่อสังคมออนไลน์ฐานละเมิด หรือหมิ่นประมาท ได้อยู่แล้ว
7) กระทั่งเกิดเหตุการณ์ “แก้ผ้านักข่าว” ขึ้นมาอีกก็กลายเป็นเรื่อง ผีซ้ำด้ำพลอย เช่น มีข่าวรายงานว่า...“ไปกันใหญ่แล้ว จับนักข่าวกักขังถอดกางเกง” โดยเนื้อข่าวรายงานว่า หมอเปรมศักดิ์ อดีต สส.ขอนแก่น ยึดกล้อง ยึดโทรศัพท์แล้วจับผู้สื่อข่าวที่ไปรอทำข่าวถอดเสื้อผ้า เพื่อจับถ่ายรูป ขณะไปรอสัมภาษณ์เรื่องแต่งงานเด็ก ม.5 ซึ่งปัจจุบัน หมอเปรมศักดิ์ เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น
รายงานกันเสียละเอียดเลยว่า เมื่อหมอเปรมศักดิ์พบนักข่าวจึงแจ้งว่า ให้มาพร้อมๆ กันเดี๋ยวแถลงทีเดียว ต่อมาเจ้าหน้าที่เทศบาลเรียกนักข่าวผู้ชายเข้าไปในห้องทำงานนายกเทศมนตรี ที่มีหมอเปรมศักดิ์นั่งรออยู่ พร้อมเจ้าหน้าที่เทศบาลและผู้บริหารรวม 7 คน แล้วสั่งเจ้าหน้าที่ล็อกประตูห้อง เก็บกล้อง, โทรศัพท์มือถือนักข่าวทุกคน โดยนักข่าวที่ไปมี 5 คน ได้แก่ 1.นักข่าวช่อง 3 2.นักข่าวมติชน 3.นักข่าวเดลินิวส์ 4.นักข่าวเนชั่นทีวี 5.นักข่าว KKC เคเบิลทีวี
จากนั้น หมอเปรม ระบุว่า วันนี้ไม่มีอะไรจะพูดหรือให้สัมภาษณ์ แต่ขอตำหนิสื่อว่าเอาภาพไปลงทำไมไม่ถามก่อน ผมก็อยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้หลบหน้าไปไหน พร้อมกับกล่าวถึงภาพที่มีการแชร์ ขณะนั่งกับเด็กสาวและมีปึกธนบัตรที่มีผู้ระบุว่าเป็นเงิน 4 แสนบาทวางข้างหน้า สั้นๆ ว่า “มันแค่เป็นการช่วยเหลือครอบครัวเขา เพราะครอบครัวเขาเดือดร้อน”นอกจากนั้น ได้ตำหนิสื่อว่าทำหน้าที่ไม่เหมาะสมและพูดเชิงข่มขู่ว่ามีเรื่องเยอะแยะจะแฉนักข่าว
รายงานข่าวเผยว่า หมอเปรมถามหาผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ว่าอยู่ไหนลงข่าวหนักมาก ตนอยากรู้ว่าถ้าถ่ายรูปนักข่าวไปลงประจานจะรู้สึกอย่างไร พร้อมกับสั่งให้เจ้าหน้าที่แก้ผ้าถอดกางเกงนักข่าวเดลินิวส์ แม้นักข่าวจะโวยวายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนเจ้าหน้าที่ถอดกางเกงนักข่าวเหลือเฉพาะกางเกงใน โดยมีเจ้าหน้าที่เทศบาลถ่ายภาพและคลิปไว้ ท่ามกลางความตกตะลึงของนักข่าวคนอื่นในห้อง โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที จึงให้ใส่กางเกงกลับ กระทั่งเวลาราวๆ เที่ยงวัน จึงปล่อยตัวนักข่าวทั้งหมดออกจากห้อง
8) เรื่องนี้เอง ประเด็น “ข้อเท็จจริง” ก็ยังสับสน ว่าหมอเปรมศักดิ์ จับนักข่าวแก้ผ้าจริงหรือไม่ เพราะฝ่ายหมอเปรมบอกว่า “นักข่าวบุกเข้ามา” ในที่ของเขา แต่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะมีการแจ้งความดำเนินคดีกันแล้ว ย่อมนำไปสู่การสืบสวนสอบสวน จนได้ความจริงในที่สุด
9) แต่ขณะที่สังคมเทไปในข้างที่ “ไม่เชื่อหมอเปรมศักดิ์” เพราะหมอยังไม่ได้ตอบคำถามแรกๆ ของเรื่อง ว่าแต่งงานจริงไหม ดังนั้น กลไกอัตโนมัติที่ทำงานตามมาก็คือ เชื่อว่าเขาจับนักข่าวแก้ผ้าจริง! เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน หมอเปรมศักดิ์สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยพยาน ด้วยหลักฐานก็ได้ แต่กลับไม่ได้ทำ หรือว่าเขาไม่ได้ทำจริงๆ ก็ให้กระบวนการทางกฎหมายทำงานไป เพื่อให้ความเป็นธรรมว่าเขาทำหรือไม่ได้ทำ
10) นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ใช่ “เรื่องส่วนตัว” อีกแล้ว หากเป็นไปอย่างที่ฝ่ายนักข่าวเล่า ย่อมแปลว่า นพ.เปรมศักดิ์ อาจเจอหลายข้อหา ตั้งแต่กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำให้สูญเสียอิสรภาพ ยึดเครื่องมือสื่อสารและกล้องถ่ายภาพ ก่อนจะทำการบังคับขืนใจ ด้วยการ “กระทำอนาจาร” ฯลฯ แต่ถ้าไม่จริง ถึงเวลานั้น สื่อจะรายงานหรือไม่ ประชาชนจะยังสนใจอยู่ไหม แล้วใครจะมา “ให้ความเป็นธรรม” แก่หมอเปรม นี่แหละ ที่นำมาสู่การใช้ประเด็นว่า “สื่อคุกคามผม” และขยายใหญ่ไปจนถึงขั้น ยื่นหนังสือกับ กสทช. และอีกหลายหน่วยงานให้ปิดสื่อ-ปฏิรูปสื่อ ซึ่งประการหลังคือ “ปฏิรูปสื่อ” เป็นข้อที่ดีนะครับ
11) เวลานี้ หมอเปรมศักดิ์คงต้องตั้งรับการตรวจสอบ ทั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัด มหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สื่อ และประชาชน ฯลฯ ซึ่งหากมีความสุจริตเป็นที่ตั้งเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเก็บมาเป็นเรื่องกังวล
12) ต่อมามีการขยายผลเพิ่มขึ้นไปอีก ว่ามีกลุ่มการเมือง ซึ่งกำลังจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองของ นพ.เปรมศักดิ์เข้ามา “ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” โดยหมอเปรมชี้ชัดไปที่ สอบจ. คนหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับ “นักข่าว” และเลยมาถึง “แม่แดง” นางระเบียบรัตน์ พงษ์พาณิชย์ โดยงัดภาพกลุ่มคนเหล่านั้น ถือป้ายมอบเงินกันอยู่ จนอีกฝ่ายมาซัดกลับมา เปิดเผยภาพไม่ครบ ไม่ให้เห็นป้ายด้านหลัง ว่าเป็นการมอบเงินทำบุญโดยสมาคมสื่อท้องถิ่น ไม่ใช่ให้เงินสื่อ
13) นพ.เปรมศักดิ์ ยังติดใจเรื่องการเปิดประเด็น “ห้องพี่หมอเปรม” ซึ่งเป็นห้องเรียนที่ นพ.เปรมศักดิ์ นำเงิน 1 แสนบาท ไปสร้าง ซึ่งอีกฝ่ายพยายามสื่อสารให้คนเข้าใจไปว่า นี่เป็น “ห้องเชือด” หรือ “ฮาเร็ม” เพราะอ้างว่า เด็กสาวคนดังกล่าว เป็นนักเรียนที่เคยเรียนในห้องนี้ โดยที่มีครูพิเศษชื่อ“เปรมศักดิ์” เป็นคนสอน ซึ่งหมอเปรมศักดิ์ออกมาซัดเต็มเหนี่ยวว่า เป็นวิธีการสกปรก ใครจะทำอะไรอุบาทว์ๆ เช่นนั้นได้ในห้องดังกล่าวแต่ตนไปสร้างในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า ได้ความรู้มาจากสถานศึกษาแห่งนี้ เมื่อเติบโต มีชีวิตที่ดี ก็อยากจะกลับมาสร้างเพื่อตอบแทนเท่านั้น
ผมเห็นด้วยว่า ประเด็นหลังๆ ชักจะ “เลยเถิด” และส่อไปในทางคู่แข่งทางการเมืองท้องถิ่น ได้ที สบโอกาส “ตีซ้ำ” และบางที “ตีเกิน”
อย่างไรก็ตาม หมอเปรมไม่จำเป็นต้อง “พลิก” เรื่องนี้ ให้เป็นเรื่อง “ปฏิรูปสื่อ-สื่อต้องปฏิรูป” ให้คน “อมยิ้ม” เอาก็ได้ หมอเป็นคน “ฉะฉาน” มาแต่ไหนแต่ไร หวนกลับไปยังประเด็นต้นเรื่องแล้วตอบใน “ข้อเท็จจริง” เสียก็หมดเรื่อง ว่าตกลง แต่งหรือไม่แต่ง” ส่วนเมียที่ชื่อ ดร.อรไท “หย่ากันแล้วหรือยังไม่หย่า” เพื่อลบข้อครหาว่า มีเมียซ้อน ผิดค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว อันเป็นการให้เกียรติผู้หญิง แถมยังมีพฤติกรรมคล้าย “สมภารกินลูกเจี๊ยบในวัด” คืออาจารย์พิเศษกินเด็กนักเรียนอย่างนี้ ท่านก็เสียที
เพลี่ยงพล้ำ เปิดช่องให้คู่แข่งซ้ำหนักหน่วงอยู่อย่างนี้แหละ
สังคมไทยถือสา เรื่องจริยธรรมทางเพศ โดยเฉพาะหากเกิดกับบุคคลระดับ “บิ๊กเนม” ความดีทั้งหลายที่หมอเปรมเคยทำ ก็ไม่ยอมให้เอามา “หักล้าง” กับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
เรื่องนี้จึงจบได้ด้วย “ข้อเท็จจริง” ว่า “แต่งกับเด็ก” จริงหรือเปล่า เมียเดิมล่ะ ถูกกฎหมายไหม เพราะหากไม่ใช่การ “มีเมียซ้อน” ไม่ใช่การ “กินเด็ก” มันก็เป็นแค่เรื่องส่วนตัว ที่คนจะหันไปช่วยด่าสื่อที่เข้ามาก้าวก่ายให้หมอด้วยซ้ำ
ถัดมาเป็นคดี “จับนักข่าวแก้ผ้า” และประเด็นที่เลยมาถึงว่า ควรปฏิรูปสื่อไหม ผมในฐานะสื่อคนหนึ่งเชียร์เลยครับ ว่าหากหมอเปรมจุดประกายนำไปสู่การปฏิรูปสื่อได้ จะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่า คำว่าการปฏิรูปสื่อ ไม่ควรใช้ “อำนาจพิเศษ” มาปิดมาปรับ แต่หมอเปรมควรพิสูจน์ให้คนในสังคมและองค์กรสื่อตระหนัก ว่า สุจริตชน คนดีๆ คนที่ทำงานพัฒนาท้องถิ่นคนหนึ่ง ถูกละเมิด ถูกกระทำย่ำยี หยามหมิ่นจากสื่อ สื่อจึงควรถูกตรวจสอบและควบคุมให้ “ดีกว่านี้”
อยากให้เรื่องจบ จึงไม่ควรกลบประเด็นแบบไม่สมเหตุสมผล เหตุเกิดที่ตรงไหน ไปแก้ที่เหตุ อย่าให้คนกล่าวหาปรามาสเอาว่า ถึงกับต้องสร้างอีกเรื่องขึ้นมา กลบเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์และเรื่องจับนักข่าวแก้ผ้าเลยครับ
ถ้าสุจริตจริงและมีใจสู้ สู้แบบปะฉะดะด้วยข้อเท็จจริง กฎหมาย และศีลธรรม ผมเอาใจช่วย!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี