วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568

การเป็น “ครู” ในทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกเหนือจากงานสอนแล้ว ยังต้องรับภาระหน้าที่อื่นๆ อีก ซึ่งอาจสร้างความเหน็ดเหนื่อยและ “ความเครียด” ให้เกิดขึ้นได้ ดังครูคนหนึ่งที่ขณะนี้ สื่อสังคมออนไลน์เรียกเธอว่า “ครูเต้าหู้ไข่”
สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 มีคลิปภาพที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ เป็นภาพเหตุการณ์เด็กนักเรียนหญิง ชั้น ป.6
โรงเรียนบ้านลำหาด ต.ทัพทัน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ นักเรียนมีอาการป่วยแล้วไปรักษาที่ โรงพยาบาลสังขะ แพทย์วินิจฉัยว่าแพ้อาหาร พอครูทราบเรื่องว่าเด็กมาพูดทำให้เขาเสียหายเกี่ยวกับอาหารกลางวัน จึงเรียกให้เด็กนักเรียนหญิงคนดังกล่าวมากราบขอขมาบริเวณหน้าเสาธงต่อหน้านักเรียนหลายร้อยคน ระหว่างนั้น มีนักเรียนชายซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่าเป็นพี่ชายของเธอขึ้นไปร่วมเจรจาด้วย
เมื่อผมพยายามถอดคำจากคลิป ก็ได้คำพูดออกมา ผู้พูดคือ ครูเล็ก หรือ นางชื่นกมล จรดรัมย์ พูดออกไมโครโฟนต่อหน้านักเรียนทั้งโรงเรียนว่า
“หนูไม่ได้ทำกับครู แต่หนูทำให้โรงเรียนบ้านลำหาด... ไปที่โรงพยาบาล แล้วโรงพยาบาลเขาบันทึกไว้ว่า เป็น...อาหารกลางวัน แต่ครูยังไม่ได้ไป ถ้าคนเราแพ้ มันจะต้องแพ้ตลอด ไม่ว่าจะกินกี่ครั้งกี่ครั้งมันก็ต้องแพ้ แต่คุณครูได้พิสูจน์เห็นแล้วว่าเขาไม่แพ้ ถ้ายัง... (พี่ชายของเด็กขึ้นไปเจรจา) ถ้าอย่างงั้น คุณครูกะว่าจะจบ เรื่องนี้ขอขมาแล้วก็จบ แต่ถ้าไม่จบ คุณครูจะพาไปตรวจเลือด เอามั้ยคะ อ่ะ! ไม่เอา แล้วคุณจะเอาอะไรคะ ค่ะ น้องคุณลงไป คุณขอโทษให้เรียบร้อย แล้วก็คุณลงไป เอ้า! พี่เขาสั่งให้น้องเขากราบ ปรบมือให้แก่พี่เขาด้วยค่ะ พี่เขาบอกว่ากราบลงไปเลย เอ้า! กราบ (ทรุดตัวลงนั่ง เอื้อมมือไปจับศีรษะเด็กหญิง) คุณครูรักนักเรียนทุกคน การกระทำที่ทำนะคะ ครูขอบใจที่นักเรียนแสดงออกมา แล้วเห็นว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนเราต้องเชื่อถือได้ ต้องมีเหตุและผล เอ้า! โอเค เราเลิกแล้วต่อกัน (กอดศีรษะเด็ก)”
ต่อมา ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ได้สัมภาษณ์นักเรียนหญิงคนดังกล่าวมีคลิปเผยแพร่ออกมา ในคลิปนี้เด็กเล่าว่า “ตอนเที่ยงหนูไปรับประทานอาหารกับเพื่อน มันก็มีเต้าหู้ มันเป็นแกงจืด แต่ไม่ใส่เส้น แล้วหนูก็กินไป กินเสร็จหนูก็ไปข้างนอก ไปซื้อน้ำ แล้วหนูก็มานั่งกับเพื่อน พอเกือบประมาณบ่ายสองบ่ายสาม มันก็เริ่มคันแถวๆ ท้อง ขึ้นตุ่ม แล้วหนูก็ไม่ว่าอะไร หนูก็ไปเล่นวอลเลย์ฯกับเพื่อน พอเย็นขึ้น ตุ่มมันก็ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นค่ะ ไปหาหมอ หมอก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แค่ฉีดยาแก้แพ้ให้ 1 เข็ม แล้วก็ให้ยากลับบ้านมารับประทาน หนูบอกผู้ปกครองว่า หนูขึ้นผื่น น่าจะแพ้เต้าหู้ หนูอยากให้เรื่องนี้มันจบค่ะ (สะอื้นแล้วเริ่มร้องไห้) จบแบบไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ”
จากนั้นก็เป็นภาพครูเล็กเล่าว่า “เราเสริมมานิดหนึ่งก็คือ เต้าหู้ไข่ ซึ่งเต้าหู้ไข่ก็แพง งบประมาณเราก็เท่านี้แหละค่ะ 3,360 บาท ทำเด็กทั้งโรงเรียน ซึ่ง อบต.จัดให้แค่ ป.1 ถึงแค่ ป.6 เด็กโรงเรียนนี้มี 234 คน แล้วงบฯมาแค่ 173 คน เราต้องทำทั้งโรงเรียน แต่เต้าหู้ไข่หลอดละสิบกว่าบาท แม่ครัวต้องเอาเงินมาเจียดให้เพื่อจะได้” (นักข่าวตัดตอน ถามว่า แล้วเรื่องในคลิปมันเป็นยังไง)
“...เรื่องมันก็แค่ เด็กกินเต้าหู้ไข่ ซึ่งพี่ไม่ทราบ ปรากฏว่าอยู่ๆ ก็มีครูคนหนึ่งมาบอกกับแม่ครัว ว่าเด็กกินแล้วแพ้ เราก็ว่าเด็กคนไหน ที่นี่ไม่มีใครบอก ก็บอกว่า เอ้า! ให้บอกมา เพื่อที่ว่าครูจะได้พาไปตรวจเลือด ต่อไปเธอจะมีปัญหาถ้าเธอแพ้รุนแรงขึ้นมา เพราะเราก็รู้ว่าถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถ้าแพ้มันอันตรายใช่มั้ย เราก็ให้ครูสำรวจ หาเด็กมา ก็ปรากฏว่าเด็กคนนี้เขาบอกว่าเขาแพ้ แต่ที่สืบไปแล้วเนี่ย ตามที่บันทึก ก็คือ เขาป่วย ที่โรงเรียนเราเสียค่าประกันให้เขา ดูแลเรื่องประกันน่ะเยอะ เราก็เลยมาดูว่าเขาป่วย จะเป็นจริงมั้ย คุณครูก็นั่งอยู่ มีขออนุญาตผู้ปกครอง เรียนเชิญผู้ปกครองมาบอกว่า เดี๋ยวนะโรงเรียนจะทดสอบ คุณแม่อนุญาตไหม คุณแม่ว่าอนุญาต คุณแม่ก็มานั่ง ทีนี้ก็ทดสอบทีละเรื่องนะ เต้าหู้ใคร ครูเล็กจะดู 24 ชั่วโมง แต่ครูเล็กขออย่างเดียวนะ ถ้ามันไม่ใช่ ขอให้หนูมากราบคุณครูได้มั้ย เพราะว่าหนูได้พูดในสิ่งที่โรงเรียนบ้านลำหาดเราเสียหาย”
เขาไปพูดที่ไหนยังไง ผู้สื่อข่าวถาม “เขาไปที่โรงพยาบาล แล้วก็บอกว่า กินอาหารของโรงเรียนบ้านลำหาดนี่แหละ ทำให้ลูกเขาเป็น แล้วแม่เขาก็บอกว่าเขาไปบอกกับคุณหมอ ก็เลยบอกว่า ถ้างั้นขอพิสูจน์ได้ไหมคุณแม่ ก็โอเคว่าแม่มา เราก็ให้กิน กินเสร็จก็นั่งอยู่กับคุณครูตลอด น้องเป็นพยานได้ (ผายมือไปทางอีกคนหนึ่ง)”
แล้วเหตุการณ์ในคลิป เหมือนพี่ดูเขา มันเป็นยังไง? ผู้สื่อข่าวถามย้ำ “ก็คือ หลังจากที่เราดูแล้วว่าเด็กไม่แพ้ เราก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐาน บอกกับครูทุกคนว่าไม่แพ้นะ ดูจากมือ ดูอะไรไม่แพ้แล้ว วันจันทร์หนูมากราบคุณครู ทีนี้ เด็กก็เข้ามา แล้วก็ คือว่าพูดแรง พูดแรงเป็นไง เพราะว่าเป็นคนที่พูดหนัก บอกว่า ครูเป็นคนที่ต้องมีเหตุมีผลใช่ไหมคะ เราต้องมีเหตุมีผล เราเป็นครู คุณครูเป็นคนที่ต้องวิทยาศาสตร์ เชื่อถือได้ ถ้าหากว่าผู้ปกครองนักเรียนบอกว่า กินอันนั้นแล้วแพ้ กินอันนี้แล้วแพ้ แล้วถ้าไม่มีหลักฐาน เป็นคุณครู คำพูดของครูย่อมศักดิ์สิทธิ์ ถ้าคุณครูไปเชื่อทุกๆ คน เด็กโรงเรียนบ้านลำหาดก็ไม่ต้องกินอะไร เด็กผู้ชายอีกคนในคลิปเขาเป็นพี่ คือ น้องเขาไม่ทำ น้องเขาร้องไห้ เขาก็ไม่ทำ คือ ความที่ว่า เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร พี่ชายเขาจึงขึ้นมา แล้วเขาก็สั่งน้องเขาว่า ในเมื่อเราผิดนะ เรากราบคุณครูเลย เอ้า! กราบเลย พอกราบ ครูก็ให้ทุกคนปรบมือ ว่านี่คือตัวอย่างของเด็กที่ดี กล้า เมื่อเราผิดเราต้องรับผิดชอบ วันหนึ่งถ้าเธอโตเป็นผู้ใหญ่ เธอไปพูดบอกว่า กินตรงนั้นแล้วเธอแพ้ กินตรงนี้แล้วเธอแพ้ แล้วถ้าเป็นร้านอาหารใหญ่ๆ เขาฟ้องคุณตายไหม”
ครูเล็กรู้มาก่อนไหม ว่ามีเด็กแอบอัดคลิปนี้ไว้? “คือ...ด้วยความบริสุทธิ์ใจของความเป็นครู เราคิดว่าสิ่งที่เราให้มันเป็นสิ่งที่ถูก แล้วมันก็เป็นสิ่งที่สอนนักเรียน เราอิงด้วยหลักฐาน ดิฉันได้ข้อมูลจาก สพฐ. มา ให้จัดงานนี้ ให้ดูแลเด็กอย่างเต็มที่ที่สุด” แล้วคลิปก็ตัดจบไป
จากที่ถอดคำทั้งหมดออกมาจากคลิป เป็นคำที่พูดจากปาก ไม่ต้องผ่านการเล่าของคนอื่น เราเห็นอะไรบ้าง
1) เรื่องทั้งหมดที่เกิด เห็นชัดว่า ครูไม่ได้มุ่งตรวจสอบความจริงเรื่องนี้ ด้วยจิตเมตตาหรือเป็นห่วงลูกศิษย์ แต่พิสูจน์แบบวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แบบมนุษยธรรม เพื่อหาคำตอบมายันกับเด็ก กับผู้ปกครอง กับครู หรืออาจเลยไปถึง อบต. ที่ให้เงินมาทำอาหารกลางวันด้วยก็ได้ว่า เด็กคนนี้ไม่ได้แพ้ “แกงจืดเต้าหู้” ที่โรงเรียนทำให้กินหรอกนะ ไม่ใช่ความผิดฉัน! เราเห็นเจตนาข้อนี้ชัดมาก
2) นั่นจึงกระทบต่อความรู้สึกของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบัน “ถือธุระ” กับเรื่องในคลิปทั้งหลายด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษเสมออยู่แล้ว ว่า เอ๊ะ! ครูคนนี้ ทำไมจิตใจถึงได้ “กระด้าง” นัก หาความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยนไม่มีเลย แล้วตัวก็เป็นครู จะไปบดบี้ เพื่อจะเอาชนะเด็กมันทำไม
3) คำพูดของครูบอกชัด ว่าธุระของการพิสูจน์ ไม่ใช่เพราะฉันห่วงเธอเป็นเหตุผลแรกหรอก คำพูดที่หน้าเสาธงในตอนท้ายจึงบอกว่า “เราเลิกแล้วต่อกัน” แปลว่า ครูเอาเด็กเป็นคู่กรณี!
4) เรื่องมันจะงดงามขึ้น แรงบีบจากสังคมจะน้อยลงมาก หากดูรูปการณ์แล้วพบว่า ทันทีที่ครูเล็กรู้ว่ามีเด็กคนหนึ่งแพ้อาหาร ก็กระตือรือร้นที่จะเสาะหาตัว เพื่อช่วยเหลือ ด้วยการนำไปพบแพทย์ ตรวจคัดกรองอย่าง “เป็นวิทยาศาสตร์” ว่า “...หนูแพ้อะไรลูก หนูต้องจำไว้และระวังเลยนะ คนเราถ้าแพ้แล้ว ยิ่งแพ้ซ้ำๆ ด้วย ต้องเลี่ยงอาหารชนิดนั้นๆ ตลอดชีวิตเลยนะคะ เพราะมันอันตรายมาก ครูเป็นห่วงหนูนะ เรามาตรวจให้รู้ไปเลยดีกว่า...” ถ้าออกมารูปนี้ ครูเป็นวีรสตรีของสื่อสังคมออนไลน์ไปแล้ว
5) แต่นี่ คำพูดคำจา วิธีคิด วิธีตรวจสอบของครูมันช่าง “กระด้าง” เหลือเกิน หาความอ่อนโยนมีเมตตาไม่พบเลย ทั้งๆ ที่ครูคงมี เช่น การขู่ว่า จะขอขมา หรือจะให้พาไปตรวจเลือด ก็ถ้าครูเมตตาต่อเด็ก ก็เอาไปตรวจสิครับ ไม่ใช่เอาเงื่อนไขการตรวจมาขู่ต่อหน้าธารกำนัล เหมือนตำรวจกำลังสอบสวนผู้ร้าย หรือทนายซักค้านจำเลย เหมือนกำลังต้อนเด็กให้จนตรอก
6) มิติของครูที่สังคมเห็น คือการใช้ “อำนาจ” แห่งความเป็นครู เอาเด็กไป “เสียบหัวประจาน” ต่อหน้าธารกำนัล ทั้งๆ ที่สามารถไต่สวนและสั่งสอนเขาได้ตามลำพัง หากเห็นว่าเด็กปลิ้นปล้อน กะล่อน สับปลับ พูดจาว่าร้าย ทำให้โรงเรียนเสื่อมเสีย แต่นี่เห็นๆ เลยว่า เด็กพูดไปด้วยความไม่รู้ ความที่ตัวเองเพิ่งกินเต้าหู้ไข่มา ก็สันนิษฐานเอาเองว่า คงจะแพ้ไอ้สิ่งนี้แหละ ผู้ปกครองไม่ได้อยู่ด้วย ลูกบอกอย่างนี้ ก็ยึดเอาข้อมูลนี้เป็นข้อเท็จจริงไป ถามว่าทั้งแม่ทั้งลูกมีความรู้ทางการแพทย์ขนาดไหนกันเชียว จนครูเล็กถึงกับต้องถือสาหนักหน่วงขนาดนี้
7) และคงจะเพราะความอยากจะเอาชนะ บวกกับความรู้สึก “ในอำนาจ” แห่งความเป็นครูละกระมัง ก็เลยขอกับผู้ปกครองว่า พิสูจน์กันนะ ถึงกับเอาอาหารที่เด็กเชื่อว่าตัวเองแพ้ ให้เด็กกินให้ดู ถามว่า ถ้ามันเป็นอาหารที่เขาแพ้จริงๆ เกิดเด็กไม่ได้เป็นแค่ผื่นเหมือนครั้งก่อนแล้ว เกิดหลอดลมตีบตัน เยื่อบุตาอักเสบจนตาบวมปิด หยุดหายใจ ครูเล็กจะทำอย่างไร? ขณะครูเล็กทำการ “ทดลองวิทยาศาสตร์” ครูเล็กมีอุปกรณ์ “กู้ชีพ” พร้อมไหม นั่นชีวิตเด็กคนหนึ่งเชียวนะครับ ไม่ใช่กบเขียดที่เอามาทดลองผ่า หรือเนื้อเยื่อพืชที่ฝานแล้วเอามาส่องกล้องจุลทรรศน์ดูระบบท่อหรือเซลล์ของมัน
8) ไอ้ที่ครูเล็กพยายามจะทำให้การกระทำของตัวเองเต็มไปด้วยความปรารถนาดี บอกว่า ถ้าเป็นร้านใหญ่ๆ เขาไม่ฟ้องเอาหรือนั่น ครูเล็กใช้ ปัญญา น้อยไปเสียแล้ว คนแพ้อาหาร ไม่ได้แพ้เพราะว่ามัน “สกปรก” หรือ “บูดเน่า” นะครับ นี่คือการแพ้ ไม่ใช่ “ท้องเสีย-ปวดท้อง” เพราะ “อาหารเป็นพิษ” แพ้คือ การที่ร่างกายผลิตสารต่อต้าน ที่เรียกว่า ฮิสตามีน ขึ้นมาสู้กับสารบางอย่างในอาหาร ที่ร่างกายมันจำไว้ว่าเป็นภัยต่อตัวมันมากเกินไป จนก่อให้เกิดมูกเมือกแน่นในระบบทางเดินหายใจ เยื่อบุหลอดลมก็พลันพองตัว อักเสบ ขอบตาคัน เยื่อบุตาบวกแดง เกิดผื่นแดง คัน หรือบางรายนั้นถึงกับความดันตกพรวด ช็อก หมดสติไปได้ ถามว่าแล้วร้านอาหารไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะไปฟ้องเขาได้ยังไง ก็เขาแพ้จริงๆ แถมไม่ได้แพ้เพราะอาหารสกปรกสักหน่อย ครูก็พูดไปเรื่อย เพียงเพื่อจะหาความชอบธรรมให้แก่การกระทำของตัวเอง
9) แล้วดูสิ ตอนนี้เรื่องเลยเถิดไปถึงขั้น มีการตั้งหัวข้อกันในเว็บไซต์หนึ่ง ล่ารายชื่อเรียกร้องให้ดำเนินการลงโทษครูเล็ก โดยที่คำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของครูก็คือ “...ต้องขอขอบคุณสังคมที่ให้ความสำคัญกับครู เพราะว่าเด็กในวันนี้จะเป็นผู้กุมอนาคตของชาติ แต่สิ่งที่ครูอยากจะบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นคำชม หรือคำติก็จะรับมา และเดินทางอย่างที่ครูตั้งใจ ถ้าเกิดว่าผิด ก็ถือว่ามันเกิดขึ้นกับใจหรือมุมมอง จะเอาครูไปวางไว้ด้านดำ หรือด้านขาวก็แล้วแต่ทุกคนจะคิด แต่ขอบอกว่าสิ่งที่ครูทำลงไป ทั้งชีวิตเมื่อมีโอกาสได้เป็นครูในเวลาไม่กี่ปีที่เราจะต้องเกษียณอายุ เวลา 60 ปี ก็ขอใช้ชีวิตทุกเวลา ทุกนาที ให้มีค่า เราไม่รู้ว่าเราจะจากกันเมื่อไหร่ หรือจะตายจากโลกนี้เมื่อไหร่ แต่อย่างน้อย เด็กๆ จะเป็นคนที่สืบสานต่อจากเราไปในอนาคต เชื่อว่าถ้าวันหนึ่งเขาเป็นผู้นำ เขาจะต้องเป็นผู้นำที่ดี นี่คือสิ่งที่หวังไว้”
พูดง่ายๆ ว่า “เอาที่พวกเธอสบายใจเถอะ” ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีอาการรู้ถูกรู้ผิดในสิ่งที่ทำลงไปแล้วสังคมท้วงติงเลย ยังคง “มั่นใจในตัวเอง” อย่างเต็มที่ และ “ปั้นคำสวยหรู” ออกมาสื่อ ทั้งๆ ที่ไม่ตรงประเด็นเลย
10) ผมคิดว่า ควรต้องมีการทดสอบทาง “จิตวิทยา” เพื่อประเมิน “สภาพจิตใจ” ของครูคนนี้ด้วย เพื่อหาคำตอบว่า เธอเป็นคนรู้ผิดชอบชั่วดีไหม เธอกระด้างและมีทิฐิมานะเกินกว่าจะอยู่ในอาชีพนี้ไหม และอย่างเร็วที่สุด ควรย้ายเธอออกจากหน้าที่ดูแลโครงการอาหารกลางวันซะ เพราะดูเธอจะได้รับแรงกดดันจากมันมากเกินไป สงสารเธอบ้าง
11) นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาล และผู้กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบต. ควรหันมาคุยกันเรื่อง “โครงการอาหารกลางวัน” ของเด็กให้จริงจังได้แล้ว ว่าต้องมีหรือไม่ต้องมี หรือให้มีได้ตามอัธยาศัย หากใครจะจัดให้มีควรจัดอย่างไร การใช้งบประมาณต้องเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นแล้ว ความเครียด ความกดดัน จะไปตกอยู่กับโรงเรียนและครูที่ต้องมาดูแลเรื่องนี้ นอกเหนือจากภาระการสอนและงานเอกสารอื่นๆ ที่ก็กองท่วมหัวอยู่แล้ว และควรวางแนวทางการใช้ “พื้นที่แห่งอำนาจ” อย่าง “หน้าเสาธง” ให้มีหลักมีเกณฑ์ มีขอบเขตอันควรเสีย ว่าในอนาคต ต้องไม่ถูกใช้เป็น “ลานประหาร” ใครอีกเลย ส่วนเด็กนักเรียนนั้น ก็มีผู้แนะนำแล้ว ว่าควรมีนักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุย เพื่อคลี่คลายความทุกข์ ความอาย ความเครียด ที่ซ่อนอยู่ในช่วงเวลานี้ และผมคิดว่า ครูเล็กก็น่าจะต้องการนะ
เอาเถอะครับ อย่างน้อยเราก็เห็นความ “เอาจริงเอาจัง” ต่อการ “ทำหน้าที่” ของเธอ จุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ชื่นชมและให้กำลังใจเธอได้
เธอเหมือนพิณ ที่ตั้งสาย “ตึงเกินไป” ดีดแล้วเสียงไม่เพราะ หรืออาจถึงขั้นสายขาด ใครก็ได้ เมตตา “ตั้งสาย” ปรับความตึงให้เธอใหม่ ด้วยพื้นฐานจิตใจที่เห็นชัดถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นครูที่ดีของเธอ (ตามที่เธอเชื่อและยึดมั่นหนัก) ทำอย่างไรให้เธอเป็นพิณที่
“ตึงพอดี หย่อนพอดี” เป็นเครื่องดนตรีที่ขับกล่อมโลก และขัดเกลาลูกหลานของเราด้วยพื้นฐานแห่งเมตตาธรรม อันส่งผ่านกายใจที่ “ละเอียดละเมียด-อ่อนโยน” ออกมาได้ ช่วยๆ กันครับ โดยอธิษฐานให้ “ตอบรับ” สัญญาณบวกที่จะส่งไปนี้ด้วยเทอญ

'ปู่ฤาษีพรหมเมศ'ศักดิ์สิทธิ์ ลูกศิษย์นำฟักทอง 999 ลูกแก้บน-ไม่พลาดส่องเลขอ่างน้ำมนต์
เกลือเป็นหนอนหรือไม่? รถบรรทุกน้ำมันจ่อคิวยาวเหยียด'ด่านช่องเม็ก' หลังมีคำสั่ง'งดส่งออก'
'มทภ.2'ออกคำสั่ง คุมเข้ม'ด่านช่องเม็ก' งดส่งออกน้ำมัน-ยุทธภัณฑ์ มีผลเที่ยงคืน 14 ธ.ค.
ด่วน!!! ทบ.ห้ามส่งออกน้ำมัน-ยุทธ์ภัณฑ์ จุดผ่านแดนช่องเม็ก
ฮุนเซน รีบแก้ตัว บอกเหตุผลยังไม่ปล่อยคนไทยกลับทางด่านปอยเปต

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี