กรณีเกี่ยวกับการลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อปี 2540
มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ 2 คดีแล้ว
1) ล่าสุด คือ คำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่แบงก์ชาติฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. กรณีทำธุรกรรมใช้เงินทุนสำรองปกป้องค่าเงินบาทเรียกค่าเสียหาย 1.86 แสนล้านบาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเริงชัยจ่ายค่าเสียหาย 1.85 แสนล้านบาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องระบุว่าการกระทำของนายเริงชัยไม่ได้เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นไปตามวิสัยที่เกิดขึ้นขณะนั้น
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
เป็นอันว่า นายเริงชัยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
2) คดีฮือฮาก่อนหน้านี้ คือ คดีที่นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตสส. พรรคประชาธิปัตย์ กรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท
โดยนายสุเทพตั้งข้อสงสัยทำนองว่านายโภคินได้นำมติจากที่ประชุมลับเรื่องการลดค่าเงินบาท ไปบอกทักษิณ ชินวัตร ทำให้บริษัทของทักษิณได้ประโยชน์
ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 5730/2550 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2550 ยกฟ้อง
ในคดีนี้ จำเลยนำสืบว่า ขณะเกิดเหตุ เป็น สส. อภิปรายในสภาเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ประเพณีปฏิบัติที่ทำกันทุกสมัยในกรณีที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมจะมีเพียง 3 คน คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่การประชุมในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 นั้น โจทก์เข้าร่วมประชุมด้วยทั้งที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทย
ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า เรื่องนี้ได้ทำเป็นความลับโดยมีผู้รู้เห็นเพียง 3 คน คือ ตนเอง นายทนงพิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่จำเลยทราบว่า โจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย โดยทราบจากนายภูษณปรีย์มาโนช นายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ และนายเริงชัย มะระกานนท์ เมื่อจำเลยทราบว่าโจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย จึงเห็นเป็นข้อพิรุธว่าโจทก์สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการค้าขายเก็งค่าเงินบาทได้ผลกำไร
การอภิปรายของจำเลยไม่เคยใช้ข้อความยืนยันว่าโจทก์ทุจริต แต่จะใช้คำว่าตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมของโจทก์ว่าไม่เหมาะสม ไม่โปร่งใส สงสัยว่าโจทก์จะนำความลับเกี่ยวกับการปรับลดค่าเงินบาทไปบอกดอกเตอร์ทักษิณ เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ดอกเตอร์ทักษิณไม่ได้รับความเสียหายจากการปรับค่าลดค่าเงินบาทในครั้งนี้ แต่กลับได้รับผลกำไรและมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดค่าเงินบาท
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 (นายสุเทพ) เป็น สส. มีสิทธิและหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพลเอกชวลิตได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชวลิตเป็นบุคคลที่ต้องรับการตรวจสอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
“....การกระทำของพลเอกชวลิตที่ยอมให้โจทก์ได้ร่วมรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท อันเป็นเรื่องความลับที่สุดซึ่งเกี่ยวกับประโยชน์และส่วนได้เสียของประเทศและประชาชนจำนวนมากเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ก่อนวันประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ถึง 3 วัน ทั้งๆ ที่โจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือควรรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและการตัดสินใจในครั้งนี้เลย และหลังจากนั้นยังยืนยันในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชนมาโดยตลอดว่า มีผู้รู้ถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ตัวพลเอกชวลิต นายทนง และนายเริงชัย เป็นข้อพิรุธสำคัญ
3)การลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 นั้น ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงจริง
เสียหายทั้งต่อรัฐ ต่อเอกชน และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
หลายคน หลายครอบครัว เหมือนตายทั้งเป็น
ในความเสียหายร้ายแรงนั้น มีธุรกิจของใครได้สบายตัว กระเป๋าตุง?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี