ข่าวคราวการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงดีเอสไอสองคนทุจริตในลักษณะที่ส่อว่ารับสินบนจากคดีดังที่สะเทือนสะท้านวงการผ้าเหลือง โดยมีวงเงินที่เกี่ยวข้องรายหนึ่งสูงถึง 40 ล้านบาท และอีกรายหนึ่ง 20 ล้านบาท เป็นข่าวคราวที่ฮือฮามากในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านั้นก็มีข่าวคราวการเปลี่ยนย้ายผู้บริหารระดับสูงของดีเอสไอถึงสองคนโดยมิได้มีการแถลงถึงสาเหตุที่ชัดเจน แต่เพราะไม่มีการแถลงสาเหตุที่ชัดเจนนั่นแหละ สังคมจึงเข้าใจเอาเองว่าเห็นทีจะเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือการประพฤติมิชอบ
ก่อนหน้านั้นก็มีคดีดังเกี่ยวกับผู้ต้องหาคดีสำคัญผูกคอตายในห้องขังในความควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่และในที่สุดผลการพิสูจน์ก็ระบุออกมาว่าเป็นการตายเพราะถูกทำให้ตายในห้องขัง ซึ่งถ้าหากพูดภาษาชาวบ้านก็คือมีการฆ่ากันตาย ในขณะที่ผู้ต้องขังอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน
จนกระทั่งวันนี้ความอึมครึมก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าใครทำให้ตาย และไม่รู้ว่าทำให้ตายอย่างไร และคนที่ทำให้คนอื่นตายจะต้องถูกดำเนินคดีอย่างไร แม้กระทั่งผู้มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมผู้ต้องขังจะถูกดำเนินทางคดีหรือทางวินัยอย่างไรก็อึมครึมไปหมด
ยิ่งอึมครึมไปนานเท่าใด ความสงสัยก็ยิ่งแผ่ปกคลุมไปในใจของประชาชนว่ามีอำนาจมืดที่มีอิทธิพลสูงมาก ถึงขนาดมือของกฎหมายเอื้อมไปไม่ถึงเกี่ยวข้องอยู่เป็นแม่นมั่น ความหวั่นไหวในกระบวนการยุติธรรมและขื่อแปของบ้านเมืองจึงแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว
มิหนำซ้ำ คดีสำคัญๆ หลายเรื่องเงียบหายสาบสูญไปและแทบไม่มีการกล่าวขวัญถึงว่าเหตุใดจึงไม่มีความคืบหน้า พูดง่ายๆ ก็คือ ทำไมเรื่องราวจึงไม่ดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติ
ดังเช่นคดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย ที่มีข่าวคราวและข้อมูลหลักฐานชัดเจนว่า การทุจริตในธนาคารกรุงไทย ในการปล่อยสินเชื่อรายหนึ่งเกี่ยวข้องกับใครบ้าง และมีการสืบสวนสอบสวนใครไปบ้าง แต่คดีกลับหยุดนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ยอมเดินหน้าไปไหนเสียทีหนึ่ง
หรือคดีรถหรูหนีภาษี ซึ่งครั้งหนึ่งมีการรายงานข่าวข้อเท็จจริงชัดเจนว่า มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นลักษณะอย่างไร เป็นฐานความผิดอย่างไร และใครเป็นผู้กระทำความผิด รวมทั้งบริษัทบริวาร
แล้วจู่ๆ เรื่องก็เงียบหายไปเป็นเป่าสาก!จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก
หรือดังเช่นคดีที่ติดตามไล่จับขบวนการฟอกเงินขบวนใหญ่ ที่เอาเงินไปลงทุนสร้างศาสนสถานในป่าสงวนบ้าง ในที่หลวงต่างๆ บ้าง หรือยักย้ายถ่ายเทฟอกเงินด้วยประการต่างๆ บ้าง เป็นคดีความที่ต่อเนื่องกันไปหลายสิบคดีก็เงียบหายเป็นเป่าสากอีก
หรือแม้กระทั่งคดีที่ขอให้ศาลออกหมายจับธัมมชโยไปตั้งปีมะโว้แล้ว จนถึงวันนี้ก็มีการเพิกเฉยไม่มีวี่แววจะปฏิบัติตามหมายศาล ซึ่งจะต้องสังวรไว้ด้วยว่า ถ้าวันใดศาลออกหมายเรียกไปไต่สวนว่าในเมื่อจำเลยผู้ถูกออกหมายจับก็มีตัวตนถิ่นฐานอยู่แล้วทำไมผู้ขอหมายก็ดี ผู้ต้องปฏิบัติตามหมายก็ดีจึงละเลยเพิกเฉย ก็อาจมีความผิดฐานขัดหมายศาลได้หรือถ้า ป.ป.ช. ตรวจสอบขึ้นมาก็อาจถูกไต่สวนฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบก็เป็นไปได้
หรือแม้กระทั่งคดีที่ส่งฟ้องธัมมชโยไปแล้ว แต่อัยการยังไม่สั่งคดี เลื่อนแล้วเลื่อนเล่ามาถึงสี่ครั้งแล้ว แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะตั้งข้อกังขาให้ปรากฏต่อสาธารณะแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเดินหน้าไปประการใดอย่างไร
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปเช่นนี้คือการทำลายความยุติธรรม คือการทำลายกระบวนการยุติธรรม และคือการทำลายความเชื่อมั่นในขื่อแปของบ้านเมือง ทำลายความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและผู้คนที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ทำลายเพราะว่ายากที่จะห้ามใจคนมิให้คิดสงสัยหรือกังวลว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีการกินสินบาทคาดสินบนให้เตะถ่วงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ หรือกระทำการใดๆ เพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ซึ่งย่อมไม่เป็นมงคลแก่แผ่นดินเอาเสียเลย
ใครเล่าจะห้ามใจคนไม่ให้คิดอย่างนั้นได้ เพราะความจริงมันปรากฏทนโท่อยู่และมีการติฉินนินทาทั้งในโซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จนเสียงติเตียนกึกก้องกระหึ่ม แต่ก็หามีใครสนใจไม่!
นั่นหมายความว่าต่างคนต่างก็ละเลยเพิกเฉยให้มีการทำลายขื่อแปบ้านเมือง ให้มีการทำลายศรัทธาเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมือง และสิ้นหวังในอันที่จะคิดอ่านพึ่งพากระบวนการยุติธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็กระทบกับสิ่งที่เรียกว่า ธรรมรัฐ หรือนิติรัฐอย่างหนักหน่วงรุนแรง
เมื่อใดแลที่อาณาประชาราษฎรไม่เชื่อมั่นในขื่อแปของบ้านเมือง ไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมทั้งรัฐบาล ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ก็ย่อมถูกพาดพิงติดร่างแหกันไปด้วยทั้งหมด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วบางหน่วยงานมิได้เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสีย
และบางหน่วยงานก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าหากคดียังไม่มาถึงมือตนเอง ดังเช่นศาลยุติธรรมเป็นต้นต่อให้รู้ให้เห็นชัดหูชัดตาอยู่อย่างไรว่าใครทำอะไร แต่ถ้าคดียังไม่มาถึงศาลๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างมากก็ได้แต่บ่นกันเองว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนี้
ที่จะเกี่ยวข้องกับศาลก็คงมีเฉพาะเมื่อคดีเข้าสู่ศาลแล้ว ทำอย่างไรจึงจะทำให้การพิพากษาคดีเป็นไปโดยรวดเร็ว ถูกต้องและยุติธรรม ซึ่ง ณ วันนี้ได้มีการปรับปรุงกระบวนพิจารณาและบทกฎหมาย ตลอดจนระบบระเบียบต่างๆ ที่ทำให้การพิจารณาพิพากษาล่าช้าติดขัดไปเป็นอันมากแล้ว
สำหรับอัยการซึ่งเคยถูกเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนกลางกระแสธารแห่งความยุติธรรม และมีกฎหมายรับรองคุ้มครองการใช้อำนาจหน้าที่ที่กระทำโดยสุจริตและอิสระว่า ผู้ใดจะฟ้องร้องให้รับผิดใดๆมิได้ แต่กระนั้นถ้าหากว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดย
มิชอบก็ดี เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตก็ดี ความรับรองคุ้มครองนั้น ก็จะไม่ครอบคลุมไปถึง ซึ่งผู้กระทำย่อมมีความผิดและต้องรับผิดตามกฎหมายด้วย
ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานเอาไว้แล้วว่า การสั่งคดีของพนักงานอัยการที่ไม่เป็นไปตามแบบแผน ไม่ตั้งอยู่ในความสุจริต และเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย
โดยบท โดยบรรทัดฐานคำพิพากษาดังกล่าว ย่อมส่งผลให้การสั่งฟ้องหรือการสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งเลื่อนการสั่งคดีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือโดยไม่เป็นไปตามแบบแผนหรือข้อเท็จจริงหรือกฎหมายหรือโดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนใดๆก็ตาม ย่อมต้องถือเป็นความผิดตามกฎหมายด้วย
ส่วนกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำได้แก่ตำรวจก็ดีดีเอสไอก็ดี ต้องถือว่าเป็นกลไกสำคัญของกระบวนการยุติธรรม การถูกเปรียบเทียบว่าเป็นต้นกระแสธารของความยุติธรรมก็เพราะถ้าต้นกระแสธารขุ่นมัว ไม่บริสุทธิ์หรือไม่ยุติธรรม หรือเจ้าเคล้าด้วยสินบาทสินบนเป็นต้นแล้ว กลางกระแสธารก็ย่อมขุ่นมัวตามไปด้วยและความขุ่นมัวนี้ย่อมจะตกทอดไปถึงปลายกระแสธารแห่งความยุติธรรม
บ้านเมืองใดไร้ธรรมอำไพ บ้านเมืองนั้นบรรลัยแน่นอน! ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ คสช. และรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาทั้งหลายที่ดำรงอยู่ในกระบวนการยุติธรรมให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เมื่อนั้นความรุ่งเรืองไพบูลย์แห่งราชอาณาจักรนี้ก็จะปรากฏเป็นจริงขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี