เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2560 รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26Tจากประเทศจีนจำนวน 1 ลำ จำนวน 13,500 ล้านบาท ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้วเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม นำโครงการดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมครม.ด้วยตัวเอง ภายหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ ทั้งนี้หลังจากที่ประชุมครม.ได้อนุมัติแล้ว พล.อ.ประวิตร ได้นำโครงการดังกล่าวส่งกลับไปยังกองทัพเรือ เพื่อให้พิจารณาระเบียบวาระในการเซ็นสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน โดยพล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย จะเดินทางไปเยือนประเทศจีนเพื่อเซ็นสัญญาซื้อขายแบบจีทูจีในเร็วๆ นี้
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า ก่อนที่พล.อ.ประวิตร จะนำโครงการดังกล่าวเข้าที่ประชุมครม.ทางประเทศจีนได้ติดต่อสอบถามถึงความคืบหน้าการดำเนินการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทยว่ามีความคืบหน้าอย่างไร เนื่องจากทางประเทศจีนเองเตรียมจะต่อเรือดำน้ำชนิดเดียวกันกับที่ขายให้กองทัพเรือไทยไว้ใช้เองด้วย และอยู่ระหว่างการตีเส้นเรือ และจะถือโอกาสนี้ต่อเรือไปพร้อมกัน (ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์)
ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไป พี่ไทยก็เริ่มฟัดกันนัว
1) นักข่าวถาม ‘ไก่อู’ ว่าเป็นมติ ครม. ทำไมไม่แถลง แรกทีเดียวได้รับคำตอบว่า “ไม่มีใครถาม” ซึ่งเป็นคำตอบที่ตลกไปหน่อย ต่อมาจึงมีคำอธิบายเพิ่มเติมและเป็นเหตุเป็นผลขึ้นว่า เป็นเอกสาร “ริมแดง” หมายถึงไม่ทต้องแถลง หากหน่วยงานต้นสังกัดไม่ยินยอม เรื่องดังกล่าวจึงไม่มีการแถลง
2) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาอธิบายเพิ่มเติมว่า เอกสารริมแดง หรือชั้นความลับ มีเข้ามีออกในที่ประชุมตลอดเวลา แต่ก็เป็นชั้นความลับแค่ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ต่อมาก็จะถูกยกเลิกชั้นความลับไปเอง เช่น เมื่อมีการทำสัญญาจัดซื้อ
จึงอย่าตกใจกับเอกสารชนิดนี้
3) วันที่ 26 เมษายน 2560 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การจัดซื้อต้องคำนึงถึงเม็ดเงินที่มีจำกัด ฝ่ายบริหารต้องพิจารณาว่า จะใช้งบประมาณกับอะไรเป็นอย่างแรก ตนทราบมาว่ารัฐบาลมีความจำเป็นถึงขนาดจะยอมยกเลิกโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่จะไปซื้อเรือดำน้ำ ตรงนี้ต้องพิจารณาว่าอะไรเร่งด่วนกว่ากัน และอะไรคือความคุ้มค่าในภาวะเช่นนี้
ส่วนตัวในฐานะอดีต รมว.กลาโหม ก็เข้าใจในความต้องการที่จะมีเรือดำน้ำไว้ป้องกันประเทศเพื่อความมั่นคง แต่เวลานี้บ้านเมืองยังอยู่ในสภาวะปกติ อาจมีบางส่วนที่ชะลอได้ และนำงบประมาณไปใช้ในเรื่องเร่งด่วนกว่า หากวันข้างหน้ามีงบ และความสามารถในการหารายได้มากขึ้น มีงบเหลือเพียงพอ ก็สามารถซื้อสิ่งที่ต้องการหรือต้องใช้ได้ในอนาคต
ทั้งนี้ การซื้อเรือดำน้ำ เป็นการซื้อที่มีภาระผูกพันในอนาคต เป็นภาระด้านงบประมาณรายจ่ายต่อปี มีค่าบำรุงรักษา เป็นภาระระยะยาว ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการฝึกยุทโธปกรณ์ต่างๆ และจำนวนเรือดำน้ำ เท่าที่ทราบคือต้องมีเป็นชุด ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำงานป้องกันได้ แต่ถ้าจะสั่งมาเพื่อทดสอบอย่างเดียว ก็สามารถซื้อในช่วงที่ไม่เกิดภาวะเร่งด่วน หรือรัฐมีงบเหลือพอจะใช้ในส่วนนั้นได้ ตนมองว่าการใช้งบประมาณ ต้องคำนึงว่าเงินอะไรที่ใช้เร่งด่วน ก็ต้องใช้ก่อน โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ ความจำเป็นในการบริหารบ้านเมือง และเรื่องปากท้องของประชาชน จากนั้นสิ่งที่อยากได้จะเป็นความสำคัญรองลงมา ซึ่งฝ่ายบริหารต้องใช้ดุลยพินิจตัดสินใจในเรื่องดังกล่าว
ในแง่ความจำเป็นในอนาคต ตนเคารพความต้องการของกองทัพเรือ แต่ก็ต้องพิจารณาระหว่างความเร่งด่วนและความจำเป็นในการใช้เม็ดเงินเพื่อความมั่นคงในการฝึกซ้อมของกองทัพ หรือเทียบกับงบประมาณที่บ้านเมืองต้องการใช้เม็ดเงินจากรัฐออกไปให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อย่างไหนคุ้มค่า และจำเป็นเร่งด่วนกว่ากัน
นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังแนะว่า การนำเข้ามาพิจารณาใน ครม. ไม่ควรพิจารณาเป็นวาระลับ เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนติดตามกันทั้งประเทศ อย่างน้อยควรให้มีโอกาสได้รับรู้ รับทราบ ช่วยกันติดตามเงินงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน ซึ่งในสมัยของตนเมื่อพิจารณาแล้วก็ได้ขอให้ชะลอการจัดซื้อ และเอาเงินไปพัฒนาอย่างอื่นที่จำเป็นเร่งด่วนแทน
4) น่ายินดี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเคยเรียก “เรือดันน้ำ” ว่า “เรือดำน้ำ” รู้จักเรือชนิดนี้แล้ว แต่การออกมาพูดของยิ่งลักษณ์นี้
มีปัญหาเรื่อง “ความบริสุทธิ์”ใจ” เพราะเธอเริ่มเรื่องด้วยการ “ใส่ความ” หรือทำให้เป็นเรื่องว่า รัฐบาลถึงกับจะยกเลิกโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็น “ความเท็จ” พอขึ้นต้นด้วยการ “โป้ปดมดเท็จ” สาระอื่นๆ ก็พลอยสิ้นน้ำหนักไปด้วย คำพูดของยิ่งลักษณ์จึงออกมาในรูปของการ “หาประโยชน์ทางการเมือง” มากกว่าปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะเรื่อง 30 บาทจะถูกยกเลิกนี้ เป็นประเด็นปลุกปั่นของกลุ่มหวังโค่น คสช. ที่เล่นกันมาพักใหญ่ จนสุดท้าย กระทรวงสาธารณสุขออกมาอธิบายชัดเจนไปแล้วว่าไม่ยกเลิก แถมเพิ่มสิทธิประโยชน์และวงเงินต่อหัวเข้าไปอีกด้วยซ้ำ แล้วยิ่งลักษณ์ไปอยู่ที่ไหนมา จึงได้กล้าเอาประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นนำ
5) ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งลักษณ์ยังเล่นกับประเด็น “เศรษฐกิจไม่ดี” และ ปัญหาปากท้อง” ไม่ทราบว่าเธอมุ่งหมาย “สร้างกระแส” ให้เป็นปัญหาหรือไม่ เพราะประเด็นพวกนี้ เล่นตอนไหน ก็ “จุก” ทุกรัฐบาลไป แต่ในฐานะคนที่ผ่านตำแหน่งสำคัญ ทั้งตำแหน่งนายกฯ และ รมว.กลาโหม มาแล้ว ยิ่งลักษณ์ไม่ควรแสร้งโง่ (หรือโง่จริง?) แล้วพูดอย่างคนไร้ประสบการณ์ ไร้สติ ไร้สมอง ออกมาเช่นนี้ ยิ่งลักษณ์ควรช่วยทำให้คนทั้งชาติเข้าใจว่า ระบบงบประมาณแผ่นดินนั้น จัดสรรงบไปให้ทุกกระทรวงแล้ว การจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่ได้ไปโยกงบช่วยเหลือราษฎรมาใช้เสียหน่อย และต่อให้ไม่ซื้อเรือดำน้ำ กลาโหมก็คงใช้งบของเขาไปกับการอื่นอยู่ดี ใช่ว่าจะเอามาช่วยประชาชนคนยากคนจนเสียที่ไหน
6) บางคนบ่นว่า โรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์ ยังให้พี่ตูน บอดี้สแลม ไปวิ่งหาเงินอยู่เลย ทำไมไม่เอามาใช้ในส่วนนี้ นี่ก็สมองประมาณยิ่งลักษณ์นี่แหละ แทนที่จะถามว่า กระทรวงสาธารณสุขได้งบมา จัดสรรไปทำอะไร ทำไมตรงนี้จึงไม่มี เพราะงบในการจัดซื้อเรือดำน้ำนี้ เป็นงบของกลาโหมที่จัดสรรให้กองทัพเรือ
7) มันจึงถึงเวลา ทำให้คนในชาติเข้าใจกันได้แล้วว่า ระบบงบประมาณแต่ละปี เขาจัดสรรกันอย่างไร พูดง่ายๆ คือ ประเทศมีเงินอยู่ตะกร้าหนึ่ง ก็จัดสรรให้แต่ละกระทรวงไป ส่วนใหญ่หมดไปกับรายจ่ายประจำ คือ เงินเดือนและรายจ่ายที่จ่ายทุกเดือนอยู่แล้ว จะมีโครงการพิเสษเพิ่มขึ้นมาก็ไม่มากมายไม่ในแต่ละกระทรวง เรือดำน้ำนี้ ก็เป็นงบของฝ่ายกลาโหม แต่พอดีว่า จ่ายก้อนเดียว ปีเดียว ไม่จบ เป็นงบผูกพันข้ามปี เรื่องนี้จึงต้องเสนอให้ ครม. อนุมัติ และต้องให้ สนช. พิจารณาด้วย มันจึงไม่ใช่ ไงบลับ” ไม่ใช่ “งบกลาง” ไม่ใช่ “งบกระทรวงอื่น” ดังนั้น ข้อโต้แย้งบนความไม่รู้เรื่องระบบงบประมาณ ควรจะจบไป แล้วไปแย้งอะไรที่มีเหตุผลดีกว่า
8) อ่าวไทยน้ำตื้น เรือดำน้ำดำไม่ได้ ข้อนี้กองทัพเรือคงต้องอธิบาย แม้จะมีบางท่านช่วยอธิบายไปแล้วว่า เทคโนโลยีมันก้าวไกลไปกว่าเรือดำน้ำยุคโบราณแล้ว เรือเล็กลง ระวางขับน้ำดีขึ้น ไม่รู้กันหรือ ว่าสหรัฐเอาเรือดำน้ำมาฝึกร่วมกับทหารไทยตั้งหลายลำ มาได้ไง ไม่รู้หรือ เรือดำน้ำของบางประเทศ ดำอยู่ในทะเลบอลติก ที่ตื้นพอๆ กับประเทศไทยแต่หลายประเทศที่อยากรู้ว่ามันดำอยู่ตรงไหนก็ไม่เคยหาเจอ นี่คือเทคโนโลยีที่ต้องตามให้ทัน ไม่งั้นสมองจะช้ากว่าวิทยาการ
9) แล้วพอยิ่งลักษณ์ออกมาวิจารณ์ โดยเริ่มจากการบิดเบือน อีกฝ่ายก็ “ทิ่ม” เข้าไปที่แผลเน่าๆ กลางหลังของเธอทันที โดยเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสการโจมตีการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือว่า คงไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มเติมไปมากกว่านี้อีกแล้ว และขอให้รอกองทัพเรือออกมาชี้แจงคาดว่าในเร็ววันนี้ หรืออย่างช้าที่สุดก็ไม่เกินวันที่ 1 พ.ค.นี้ เพราะกองทัพเรือมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าวกว่า 30 คน ดังนั้น ขอให้สื่อมวลชนไปสอบถามได้ในวันนั้น
ส่วนกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนำประเด็นดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับโครงการรับจำนำข้าวนั้นคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในส่วนของโครงการรับจำนำข้าว ตนถามว่าเสียหายไปกี่แสนล้าน แต่โครงการเรือดำน้ำของกองทัพเรือนั้นมีการจัดซื้อในราคาหมื่นกว่าล้านบาท ถ้านำเงินที่เสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวมาซื้อเรือดำน้ำคิดว่าจะซื้อเรือดำน้ำได้ประมาณ 50 ลำ
“เรือดำน้ำที่ซื้อมาก็เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในกองทัพ เป็นเรื่องการพัฒนาของกองทัพ ผมไม่เห็นว่าเสียหายตรงไหน เสียเงินไปแต่ก็ได้ของมา แต่โครงการรับจำนำข้าว เงินหายไปหมดและไปไม่ถึงตัวประชาชน เงินหายไปไหน เพราะขาดทุน 5 แสนกว่าล้านบาท อยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปตอบพนักงานสอบสวนมากกว่า ไม่ต้องออกมาแบบนี้ ผมชัดเจนในทุกเรื่องที่ทำไปเพื่อความเข้มแข็งและศักยภาพของประเทศ ไม่ใช่ทำเพื่อใคร กองทัพเรือเสนอแผนงานมา ซึ่งก็มีมานานแล้ว ประมาณ 10- 20 ปี ที่กองทัพเรือพยายามที่จะซื้อ ซึ่งผมก็มองว่าไม่เห็นมีปัญหาและไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย เรือดำน้ำเราซื้อมาเพื่อนำไปใช้ดูแลทรัพยากรทางธรรมชาติฝั่งทะเลอันดามัน 200 ไมล์ทะเล แต่ไม่พูดกัน ไปพูดอะไรบ้าๆบอๆ” พล.อ.ประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการล็อกสเปคจากผู้มีอำนาจ ให้ซื้อเรือดำน้ำของประเทศจีน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ใครจะพูดอะไรก็พูดได้ มีหลักฐานหรือไม่ ข้อมูลมาจากใครก็ไม่รู้และยืนยันตัวตนไม่ได้ เหมือนอย่างสุนัขเห่า ผมถามว่ารู้หรือไม่ว่าสุนัขเห่าใคร สื่อก็ไม่รู้”
เมื่อถามถึงกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องขอให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ตรวจสอบโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นายศรีสุวรรณอยากยื่นเรื่องก็ยื่นไปซึ่งทางสตง.ก็ต้องเรียกกองทัพเรือไปชี้แจง ตนคิดว่าไม่เห็นมีปัญหาอะไร เพราะทุกอย่างโปร่งใส การซื้อขายก็เป็นแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี ยืนยันว่าไม่มีใครไปสั่งอะไรได้ เพราะกองทัพเรือต้องนำเรือดำน้ำของประเทศต่างๆ มาเปรียบเทียบทั้งหมด และดำเนินการตามสเปค ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นขอให้เลิกพูดเรื่องเรือดำน้ำกันได้แล้ว
10) ในกระบวนการตรวจสอบ ค้าน แย้ง ทั้งหลาย ผมว่า นายศรีสุวรรณ จรรยา อยู่ในร่องในรอยที่สุดละ นายศรีสุวรรณ เข้ายื่นหนังสือต่อนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกรณีการดำเนินการของคณะกรรมการจัดทำทีโออาร์ และการใช้อำนาจของกองทัพเรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ว่าเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ หรือไม่ ตามที่มติ ครม.เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา อนุมัติให้กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน S26T จำนวน 1 ลำมูลค่า 13,500 ล้านบาท ว่าคำนึงถึงสภาพการณ์ของฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ และการจัดทำทีโออาร์เอื้อประโยชน์ต่อประเทศจีนหรือไม่
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การซื้อเรือดำน้ำจากจีนยังมีข้อสงสัยจากสาธารณชนเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับกระบวนการจัดทีโออาร์ รวมถึงการจัดซื้อ อุปกรณ์พิเศษที่ติดตั้งมามีความคุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่ และเห็นว่ายังไม่มีสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศรอบข้าง จึงไม่มีเหตุจำเป็นในการสะสมยุทโธปกรณ์อีกทั้งไม่เปิดเผยข้อมูลที่ประเทศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกวง ขณะเดียวกันตั้งข้อสังเกตว่าครม.อาจฝ่าฝืนระบบวินัยการเงินการคลังของชาติ เป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นไปตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันเข้าข่ายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 62 ประกอบมาตรา 75 วรรคแรก และมาตรา 76.หรือไม่
ขณะที่ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า รับเรื่องไปดำเนินการตรวจสอบ ยึดหลักจรรยาบรรณตามวิธีการตรวจสอบงบประมาณด้านความมั่นคงหลักสากล ที่ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง แต่ไม่ยืนยันกรอบเวลาที่แน่ชัดได้เพราะต้องใช้ระยะเวลา โดยจัดทำข้อสังเกตและข้อแนะนำสะท้อนให้สังคมได้รับรู้ รวมถึงดูเหตุผลความจำเป็นในการใช้งบประมาณ และเห็นว่าหากสามารถป้องปราบการส่อการกระทำผิดกฎหมายและหยุดยั้งน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่หากกองทัพเรือจำเป็นต้องจัดซื้อ ทีโออาร์ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายการเสนอราคาต่อหน่วยของรัฐ โดยขณะนี้ได้เริ่มการตรวจสอบไปบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม 1 พฤษภาคมนี้ กองทัพเรือแถลงรายละเอียดเท่าที่จะแถลงได้ เพื่อคลายความกังขาของสังคมแน่นอน และเชื่อว่าสื่อต้องเกาะติด และหากเปิดให้มีการซักถาม คงได้ถามกันทุกประเด็นที่ค้างคาใจ
แต่สิ่งที่เห็นได้จากเรื่องนี้คือ ทุกคนพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ประวิตร ด้วยความระแวงสงสัย ว่าจะเป็นคนที่สั่งให้ซื้อ คุยกับจีน ได้เงินปากถุงหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประวิตร คงชินในระดับหนึ่ง เพราะอะไรเลวๆ มักถูกจับมาที่ พล.อ.ประวิตรหมด (ฮา...) และการเริ่มต้นจากความระแวง จากความเป็นขั้วข้าง เราจึงเห็นนายห้อยนางโหนโผล่ออกมา “เกาะ” เรื่องนี้กันมาก
10 กว่าปีแล้วนะ ที่กองทัพเรือเสนอจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่ใช่เพิ่มคึกอยากจะมีเอาในรัฐบาลนี้
หยุดเถียงกันเรื่องทำไมไม่เอาเงินไปช่วยคนจน เกษตรกร รู้จักหากินและพึ่งพาตนเองกันบ้าง ไม่อย่างนั้นประเทศชาติคงไม่มีเงินไปทำอย่างอื่นได้ และอย่าเอาไปเทียบกับจำนำข้าวหรืออะไรให้ทะเลาะกันไปวันๆ อย่างไม่เกิด “ปัญญา” ใครที่เกี่ยวข้องเร่งตอบมา ว่าความจำเป็นต้องมีคืออะไร ความคุ้มค่าของการจัดซื้อรุ่นนี้คืออะไร กระบวนการใช้งบประมาณเป็นไปตามระบบและโปร่งใสใช่ไหม จากนั้นคำนึงเรื่อง “อธิปไตยของชาติ” กันให้มาก เรื่องนี้ค่อนข้างไกลตัว เพราะเรือดำน้ำไม่ใช่ของที่ประชาชนร่วมใช้ ก็อาจมีข้อสงสัยที่ทั้งฉลาดและโง่
ดีที่สุดคือ ตอบอะไรได้ ให้ตอบ อย่าปล่อยให้คาใจ ให้ข่าวลือและลูกอีช่างยุทำงาน คนในรัฐบาลพึงรู้ด้แล้วว่า คนไทย
ยุง่ายที่สุด หากปล่อยให้ค้างคาใจ คำด่ามีเท่าไหร่ เขาพร้อมจะสาดใส่คุณโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่แล้ว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี