ผลประโยชน์แห่งชาติ (National Interest) คือสิ่งสำคัญสูงสุดของรัฐ หรือประเทศ หรือประเทศชาติ ดังนั้นทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้อย่างมาก และเป็นลำดับแรกของผลประโยชน์ทั้งปวง
ผลประโยชน์แห่งชาติต้องดำเนินควบคู่ไปกับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ เพราะหากประเทศชาติไม่มั่นคง ไม่มีเสถียรภาพ ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป เพราะเมื่อหมดสิ้นชาติหรือประเทศเสียแล้ว ทุกอย่างก็จบสิ้นลง หมดความเป็นรัฐ หมดความอิสระ หมดสิ้นเสรีภาพ และหมดสิ้นศักดิ์ศรีของความเป็นประชาชนพลเมืองของประเทศ
มีคำกล่าวที่นับได้ว่าตรงประเด็นมากที่สุด แต่ทว่าแฝงไปด้วยคำเสียดสีอย่างรุนแรงคือ ประเทศไทย ดินแดนไทยดีมาก ดีจนอาจจะกล่าวได้ว่าดีเกือบจะที่สุดบนโลกใบนี้ เพราะไม่มีปัญหาภัยธรรมชาติที่รุนแรงร้ายกาจเหมือนกับหลายๆ ประเทศที่ต้องเผชิญเป็นประจำ เช่น ไม่มีภัยแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุที่หนักมากจนกวาดทำลายประเทศให้พังพินาศ แต่ประเทศไทยมีคนไทยอาศัยอยู่ แล้วคนไทยจำนวนไม่น้อยก็เป็นคนที่ทำให้ประเทศไทยพังพินาศ เพราะรบราฆ่าฟันกันเอง แม้จะไม่มีสงครามกลางเมืองเหมือนในบ้างประเทศ แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยก็เข่นฆ่ากันเอง และไม่สมัครสมานสามัคคี แต่ที่สำคัญคือประเทศไทยมีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่เลวชาติ ชั่วชาติ เพราะโกงกินได้สารพัดรูปแบบ โกงได้ทุกเรื่อง ทุกชนิด นี่คือความโชคร้ายของประเทศไทยที่มีคนไทยเลวทรามจำนวนไม่น้อยอยู่อาศัยบนแผ่นดินนี้
เมื่อพูดถึงประเด็นข้างต้น ก็ต้องถามคุณว่า คุณเชื่อหรือไม่ว่าเมืองไทยมีนักการเมืองเลวชาติเป็นจำนวนไม่น้อย ย้ำว่านักการเมืองทุกคนบนแผ่นดินไทยไม่เลว แต่ทว่าหานักการเมืองดีงาม ไม่มีความชั่วชาติได้น้อยมาก ส่วนหัวหน้าพรรคการเมืองของไทยนั้น หลายคนก็เลวทรามต่ำสถุลจนเกินบรรยาย บางคนตั้งพรรคการเมืองเพื่อล้างผลาญทำลายชาติบ้านเมือง บางพรรคฯ ตั้งขึ้นมาเพื่อแบ่งแยกประเทศ บ้างพรรคฯ ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ บางพรรคฯ ตั้งขึ้นมาเพื่อกอบโกยโกงกินทรัพยากรของประเทศ และบางพรรคฯ ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนไทยกลายเป็นศัตรูกัน แล้วห้ำหั่นเข่นฆ่ากันจนเลือดท่วมท้องช้าง
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังมีปัญหาสู้รบกับกัมพูชา จนทำให้กัมพูชาจงใจโจมตีไทยด้วยอาวุธสงคราม ต้นเหตุของปัญหานี้มาจากเจ้าของพรรคการเมืองรายหนึ่งที่มีสถานภาพเป็นนักโทษหนีคดีอาญาของไทย เข้าไปพัวพันในเชิงไม่สุจริตกับฮุนเซน แห่งกัมพูชา แล้ววันหนึ่งฮุนเซนกับเจ้าของพรรคการเมืองไทยรายนั้น (หลายคนต้องทราบชื่อเสียงเป็นอย่างดีอยู่แล้ว) เกิดปัญหาขัดแย้งกันเพราะแย่งชิงผลประโยชน์กันเอง แล้วสุดท้ายนำไปสู่ปัญหากัมพูชาจงใจเปิดศึกทำสงครามกับไทย ถึงแม้ยังไม่ได้ประกาศสงครามตามหลักรัฐศาสตร์ก็ตาม แต่ก็ต้องย้ำว่ากัมพูชาจงใจระดมยิงจรวด และสาดกระสุนสารพัดชนิดเข้าสู่เขตของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านภาคอีสานตอนใต้ จนเป็นเหตุให้พลเรือนชาวไทยเสียชีวิตไปแล้วกว่า 10 คน และบาดเจ็บสาหัสอีกจำนวนหลายสิบคน แล้วยังเป็นเหตุให้ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนไปอยู่อาศัยในที่พักพิงชั่วคราว เพื่อให้รอดพ้นจากระเบิด จรวด และกระสุนของฝ่ายกัมพูชา
ขอย้ำว่าต้นตอของปัญหาที่กัมพูชาเปิดศึกทำสงครามกับไทยมาจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างฮุนเซนกับเจ้าของพรรคการเมืองไทยรายหนึ่งโดยแท้ คำถามคือทำไมเราคนไทยยังปล่อยให้บ้านเมืองของเรา ประชาชนคนไทย และทรัพย์สมบัติสาธารณะของประเทศชาติต้องได้รับความเสียหาย วิบัติอย่างรุนแรง เพราะต้นเหตุอันเนื่องมาจากความขัดแย้งของคนเพียงสองคนเท่านั้น
การที่กัมพูชาระดมยิงอาวุธสงครามสารพัดชนิดเข้ามาในเขตประเทศไทย โดยจงใจยิงทำลายโรงพยาบาล สถานีอนามัย โรงเรียน ตลาด และบ้านพักอาศัย รวมถึงไร่นา พื้นที่การเกษตรของไทย ทำให้พลเรือนคนไทยทั้งเด็ก คนแก่ และคนทุกคนในเขตอันตรายจากพิษภัยของอาวุธสงครามที่ยิงมาจากฝั่งกัมพูชาได้รับความเสียหายร้ายแรง พลเรือนไทยกว่า 10 คนเสียชีวิต และอีกหลายสิบคนบาดเจ็บสาหัส ส่วนวัวควาย หมูหมากาไก่ แพะแกะของชาวบ้านก็ได้รับอันตรายล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
การกระทำดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา โดยคำบงการของฮุนเซน และฮุน มาเนต ถือว่าเป็นการจงใจฆ่าล้างชีวิตของพลเรือนไทย ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมของอาชญากรสงครามอย่างชัดเจน จึงจำเป็นต้องฟ้องร้องเรื่องนี้ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court)
อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูกันต่อไปว่าฝ่ายไทยจะนำเรื่องความโหดร้ายป่าเถื่อนของฮุนเซน กับฮุน มาเนต ที่จงใจกระทำต่อพลเมืองไทยไปฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไม่ หากรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันไม่นำเรื่องนี้ไปฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศก็น่าจะหมายความว่าอาจมีประเด็นของความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของพรรคการเมืองไทยพรรคหนึ่งกับฮุนเซนเป็นตัวอุปสรรคของการนำเรื่องนี้ไปฟ้องร้องต่อศาล
จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครฟันธงชัดเจนว่าฮุนเซนโกรธแค้นทักษิณ ชินวัตร หรือโกรธแค้นแพทองธาร ชินวัตร กันแน่ แต่การที่ฮุนเซนจงใจปล่อยคลิปเสียงสนทนาที่แพทองธารพูดคุยทำนองวางตัวในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย แต่ทำให้ไทยเสียเปรียบหรือด้อยกว่ากัมพูชา โดยเฉพาะประเด็นที่ปรากฏในคลิปเสียงประมาณว่า ทหาร (ไทย) มันอยากเท่.... มันเป็นคนละฝั่งกับเรา (เราหมายถึงแพทองธาร นายกรัฐมนตรีไทย กับฮุนเซน แห่งกัมพูชา) และ uncle ต้องการอะไรบอกอิ๊งค์ได้เลย อิ๊งค์จัดการให้ทันที
แต่เมื่อไปดูคำวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์การเมืองชาวกัมพูชา ชื่อวิชานา สาร์ จากราชวิทยาลัยกัมพูชาที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย มีความตอนหนึ่งว่า คำพูดของแพทองธารที่วิพากษ์ว่าฮุน มาเนต ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ทำให้ฮุนเซนโกรธมาก
วิชานายังเคยมีบทความวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซนกับทักษิณว่า เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนแต่น่าสนใจมาก เมื่อมองจากมุมของพลวัตรในภูมิภาคนี้ และเรื่องผลประโยชน์ที่ทั้งสองมีร่วมกัน รวมถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากมิติเศรษฐกิจ ก็พบว่าทักษิณคือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วผันตัวไปเป็นนักการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยมทำให้ได้รับคะแนนเสียงมากมายจากประชาชน ส่วนฮุนเซนมีอำนาจรัฐในกัมพูชามายาวนานเกือบ 40 ปี โดยทั้งคู่มีจุดร่วมกันคือ ใช้ประโยชน์จากความสำเร็จจากนโยบายเศรษฐกิจเพื่อช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเมืองให้ตนเอง วันนี้ทักษิณคือพ่อของนายกรัฐมนตรีไทย ส่วนฮุนเซนก็คือพ่อของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่สิ่งที่ต่างกันคือวันนี้ฮุนเซนยังมีอำนาจล้นเหลือในกัมพูชา แต่ทักษิณในวันนี้ไม่มีอำนาจในมือเหมือนเมื่อก่อน แล้วทักษิณก็มีสถานะเป็นนักโทษ แม้จะมีอำนาจแต่ก็ไม่ใช่อำนาจโดยตรงของตนเอง เพราะต้องถืออำนาจผ่านมือของลูกสาว เพราะฉะนั้น อำนาจการเมืองของทักษิณจึงน้อยกว่าอำนาจของฮุนเซน
มีการวิเคราะห์ว่า ฮุนเซนโกรธมากที่แพทองธารวิพากษ์ว่า ฮุน มาเนต ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ทั้งๆ ที่ฮุน มาเนต มีความเหนือกว่าแพทองธาร ส่วน
แพทองธารนั้นเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีประสบการณ์การเมือง
มีการวิเคราะห์ลึกลงไปด้วยว่า คำเรียกฮุนเซนว่า uncle หรือ อา ที่ออกมาจากปากของแพทองธาร หญิงสาวที่ด้อยประสบการณ์การเมือง เป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะฮุนเซนมีสถานะผู้นำของกัมพูชามานาน นานเสียจนบอกได้ว่ามากกว่าอายุของแพทองธารเสียอีก ดังนั้น แพทองธารไม่ควรใช้สรรพนาม uncle กับฮุนเซนในการเจรจาความเมือง การเรียกสรรพนามฮุนเซนว่า uncle เป็นเพราะแพทองธารใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวของทักษิณ แต่แพทองธารกลับใช้คำ uncle ในการเจรจากับฮุนเซน ซึ่งไม่ควรใช้เป็นอันขาด เพราะการเจรจาความเมือง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศนั้น ไม่ควรเรียกผู้ของอีกประเทศหนึ่งว่า uncle และนี้คือความไม่เป็นมืออาชีพของแพทองธารมากกว่า
อย่างไรก็ตาม โปรดกลับไปค้นหาข้อมูลต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณกับฮุนเซนมาอ่านเพิ่มเติม แล้วจะเห็นชัดมากขึ้นว่า ทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่างกันจริง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่อิงอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัวของแต่ละฝ่าย โดยไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งรัฐแม้แต่น้อย แต่ก็น่าสมเพชประเทศไทยและกัมพูชาเป็นอย่างมากที่ประเทศทั้งสองต้องมารบราฆ่าฟันกันเพราะความขัดแย้งแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างทักษิณกับฮุนเซน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี