พระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมศาสดาทรงมีอนาคตังสญาณว่า สรรพสิ่งไม่ตั้งนิ่งอยู่กับที่ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไปและดับไปเป็นธรรมดา พัฒนาการทั้งหลายทางสังคมก็อยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์นี้เช่นเดียวกัน สภาพที่เป็นไปในสังคมในห้วงเวลาหนึ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเช่นเดียวกัน และย่อมมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา
ในท่ามกลางพัฒนาการนั้น การยึดถือปฏิบัติในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ปลีกย่อยอาจจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไป แม้ในยุคสมัยเดียวกัน หากต่างที่ต่างถิ่นกันก็ย่อมมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันได้
ดังนั้นขอเพียงพระสงฆ์ยังคงดำรงมั่นอยู่ในพรหมจรรย์ ในพระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติแล้ว ทรงแสดงแล้ว เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลกแล้ว แม้ความแตกต่างทางการประพฤติปฏิบัติจะเกิดขึ้นก็ยังคงถือว่าเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเช่นเดิม
การประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกันตามสภาพพื้นที่ ตามสภาพสังคมดังกล่าว ทรงเรียกว่านานาสังวาส และทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติแตกต่างกันได้ แต่เนื้อใหญ่ใจความก็คือการประพฤติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติ และทรงแสดงแล้วเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก
ความแตกต่างทางการประพฤติและปฏิบัติเช่นนี้ไม่ทำให้พระสงฆ์ที่ประพฤติปฏิบัติแตกต่างกันขาดจากความเป็นพระภิกษุ ยกเว้นการประพฤติผิดพระวินัยที่มีบทอาบัติหนัก เช่น ปาราชิกสี่ เป็นต้น ไม่ว่าจะถือวัตรปฏิบัติแบบไหน หากต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ย่อมขาดจากความเป็นภิกษุ ไม่สามารถดำรงความเป็นภิกษุได้และไม่สามารถเข้ามาบวชใหม่ได้อีกต่อไป
การประพฤติปฏิบัติที่เป็นนานาสังวาสนั้นไม่ถือเป็นการทำสงฆ์ให้แตกแยก ไม่เป็นอนันตริยกรรมใด เพราะเป็นกรณีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับรอง ทรงอนุญาตไว้ชัดเจนแล้ว
ดังนั้นชาวพุทธทั้งหลายจึงพึงรู้และเข้าใจให้ถูกต้องว่าการที่หมู่สงฆ์คณะสงฆ์ใดมีวัตรปฏิบัติแตกต่างจากสงฆ์กลุ่มอื่นที่มีลักษณะเป็นนานาสังวาส หมู่สงฆ์หรือคณะสงฆ์นั้นก็ยังคงเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นสังฆรัตนะแห่งพระรัตนตรัยทุกประการ
ดังเช่นกรณีสมณะของสันติอโศกที่ประกาศความเป็นนานาสังวาสกับคณะสงฆ์ไทยในสังกัดมหาเถรสมาคม ก็เป็นการประกาศนานาสังวาสตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับรอง ทรงอนุญาตไว้ ดังนั้นตราบใดที่คณะสงฆ์หรือคณะสมณะของสันติอโศกยังปฏิบัติประพฤติพรหมจรรย์ตามพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติและทรงแสดงไว้ดีแล้ว เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก ตราบนั้นคณะสงฆ์หรือคณะสมณะของสันติอโศกก็ยังคงเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นสงฆสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นสังฆรัตนะแห่งพระรัตนตรัยทุกประการ
สิ่งที่เรียกว่านานาสังวาสนั้นมีอยู่หลายประการ รวมความก็คือการประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกัน แต่ยังคงยึดถือประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและทรงบัญญัติเพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มากในโลก และเพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ก็สมควรที่จะยกสิ่งที่เรียกว่านานาสังวาสเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ชาวพุทธได้รู้ได้เข้าใจโดยทั่วกัน
ตัวอย่างที่หนึ่ง คือการประพฤติปฏิบัติแตกต่างกันในเรื่องปลีกย่อย เช่น การสวดและพิธีกรรมต่างๆ ของคณะสงฆ์ ระหว่างคณะธรรมยุติกนิกายกับมหานิกาย ความแตกต่างปลีกย่อยเหล่านั้นไม่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ พระสงฆ์ในทั้งสองนิกายยังคงเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
ตัวอย่างที่สอง คือการประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างกันระหว่างพระสงฆ์ในนิกายหินยาน กล่าวคือการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายและมหานิกายของประเทศไทย กับพระสงฆ์ในนิกายมหายาน ซึ่งบางนิกายก็ยังคงประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์มั่นคงในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มากในโลก พระสงฆ์เหล่านั้นก็ยังคงเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
ยกเว้นบางกรณีที่พระสงฆ์บางนิกายย่อยของนิกายมหายานที่มีครอบครัวลูกเมียได้ ทำมาค้าขายหากำไรเอาเปรียบทางการค้าได้ อย่างนี้ย่อมอาบัติปาราชิกที่มีการล่วงประเวณี ย่อมขาดจากความเป็นภิกษุ แม้จะหัวโล้นห่มเหลืองหรือแม้จะสวดมนต์ใดๆ ก็ไม่ใช่นานาสังวาส แต่เป็นเรื่องของฆราวาสกับพระสงฆ์ไปแล้ว
เป็นเรื่องที่น่าสังเกตและน่าคิดว่าการที่คณะสงฆ์ไทยบางกลุ่มไปสังสรรค์เสวนาสังวาสในฐานะที่เป็นสงฆ์เสมอกันกับคนหัวโล้นห่มเหลืองบางจำพวกของนิกายมหายานที่มีลูกเมียทำมาค้าขายเป็นธุรกิจนั้น เป็นการถูกต้องตามพระวินัยและเป็นการทำสงฆ์ให้ตกต่ำหรือไม่ ก็ควรเป็นเรื่องที่คณะสงฆ์ไทยควรจะได้ใคร่ครวญตรวจสอบพิจารณาให้ถ่องแท้
ตัวอย่างที่สาม คือความประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างอย่างสำคัญของนานาสังวาสระหว่างคณะสงฆ์ของสันติอโศกกับคณะสงฆ์บางพวกบางกลุ่ม เห็นจะมีในประการสำคัญดังนี้
ประการแรก การยึดถือปฏิบัติในเรื่องไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งในพระพุทธศาสนานั้นถือว่าศีลเป็นบาทฐานของสมาธิ และสมาธิเป็นบาทฐานของปัญญา และสิ่งที่เรียกว่าศีลนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้สามอย่าง คือ จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล ศีลทั้งสามนี้เป็นส่วนของพระธรรมที่ทรงแสดง หากบริษัทใดไม่ประพฤติปฏิบัติก็ย่อมไม่มีศีล ไม่มีบาทฐานแห่งสมาธิ
และไม่สามารถก่อตั้งปัญญาเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานได้ นี่เป็นวัตรปฏิบัติหรือการยึดถือของสมณะแห่งสันติอโศก
ในขณะที่สงฆ์บางคณะไปยึดถือว่าพระวินัย 227 ข้อคือศีล ซึ่งเป็นคนละเรื่อง วินัยเป็นส่วนที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติโดยสอดคล้องกับยุคสมัยแห่งโพธิกาลของพระองค์ เป็นคนละส่วนกับธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายรวมทั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทรงแสดงไว้ และทรงรับรองว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เพียงแต่เป็นผู้ชี้ เป็นผู้แสดง ให้เวไนยสัตว์ได้ประพฤติปฏิบัติเท่านั้น
การไม่ปฏิบัติตามพระวินัยมีโทษถ้าเป็นเรื่องอุกฤษณ์ฉกรรจ์ เช่น บทว่าด้วยปาราชิกก็ขาดจากความเป็นภิกษุ หากเป็นเรื่องรองลงไปก็มีโทษเป็นลำดับไป ตรงข้ามกับศีลไม่มีบทลงโทษ คงมีแต่เรื่องผลหรืออานิสงส์ที่ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติก็ไม่ได้รับอานิสงส์แห่งศีล คือการมีคติที่ดีซึ่งมีที่หมายปลายทางอยู่ที่มรรคผลนิพพาน การได้มาซึ่งอริยทรัพย์และการบรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพระวินัย
สมณะชาวสันติอโศกยึดมั่นปฏิบัติในไตรสิกขาดังกล่าว ดังนั้นความแตกต่างนี้จึงเป็นนานาสังวาส
ประการที่สอง ความแตกต่างในเรื่องการอบรมสั่งสอน ทั้งการอบรมสั่งสอนตนเองและบริษัทอื่น ซึ่งเป็นวิธีการว่าด้วยการอบรมสั่งสอน
คณะสงฆ์ของสันติอโศกยึดถือการอบรมสั่งสอนตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในโอวาทปาติโมกข์ คือทั้งในส่วนการอบรมสั่งสอนตนเอง ในส่วนการอบรมสั่งสอนผู้อื่น และขั้นตอนในการอบรมสั่งสอนคือ การเว้นจากบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ไม่ได้สอนเรื่องบุญ เรื่องสวรรค์ กล่าวโดยสรุปคือการสอนทั้งหลายมุ่งเอามรรคผลนิพพานเป็นที่หมาย
ในขณะที่สงฆ์บางพวกบางหมู่อบรมสั่งสอนแต่คนอื่น แต่ไม่อบรมสั่งสอนตนเอง และสิ่งที่อบรมสั่งสอนก็มุ่งหมายประสงค์เอาลาภจากคนอื่น โดยเฉพาะการสั่งสอนให้ติดยึดในบุญ สวรรค์ ไม่สอนเรื่องการละ การวาง การหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
นี่ก็เป็นนานาสังวาสว่าด้วยการอบรมสั่งสอนตนเองและผู้อื่น
ตัวอย่างที่สี่ คือความแตกต่างเรื่องการสังคมของหมู่คณะพุทธบริษัท ที่คณะสงฆ์สันติอโศกอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ โดยถือหลักอาวุโสตามที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักไว้ ไม่ถือยศศักดิ์ใดๆ เป็นเครื่องขีดแบ่ง และถือการอยู่ร่วมกันระหว่างบริษัททั้งหลายที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกันและกัน ไม่แยกพระสงฆ์ออกจากอุบาสกหรืออุบาสิกา สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ทำการงานร่วมกัน และใช้ชีวิตในสังคมเดียวกันได้ โดยแบ่งแยกเฉพาะพิธีกรรมหรือในส่วนของศีลที่เป็นเรื่องเฉพาะของสมณะเท่านั้น
ในขณะที่สงฆ์บางหมู่บางคณะยึดถือยศศักดิ์เป็นตัวแบ่งชั้น หรือถือการแยกพระสงฆ์ออกจากสังคม หรือแยกออกจากบริษัทอื่นๆ ดังเช่นกฎหมายคณะสงฆ์ซึ่งไม่ยอมให้บริษัทอื่นคือภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงฝากธุระพระศาสนาไว้ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องใดๆ เลย
นี่ก็เป็นนานาสังวาส
สิ่งที่เรียกว่านานาสังวาสมีมากกว่านี้ แต่ในโอกาสที่วันวิสาขบูชามาถึงในปีนี้ เพื่อความมั่นคงและความจำเริญของการพระศาสนา จึงเพียงแค่ยกตัวอย่างสี่ข้อมาแสดงเพื่อให้เห็นและเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่านานาสังวาส แล้วจะได้กราบไหว้ได้ถูกตัวถูกคนว่าคนไหนรูปไหนเป็นพระสงฆ์ คนไหนรูปไหนเป็นฆราวาสโกนหัวห่มเหลืองเท่านั้น
ขอผองเราทั้งหลายจงน้อมนำรำลึกถึงวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันของพระพุทธเจ้า คือวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ที่เวียนมาบรรจบครบรอบในปีนี้ เพื่อความสามัคคี เพื่อความเอกภาพ และเพื่อสัมมาปฏิบัติในหมู่พุทธบริษัททั้งหลาย เพื่อความเจริญงอกงามในกิจการพระศาสนาตลอดกาลนาน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี