วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
พอเวลางวดเข้ามา ทุกอย่างจวนถึงบทสรุป พลันเกิดปรากฏการณ์วิ่งกันอุตลุด
1. น่าแปลกใจ... นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายของนายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกดีเอสไอแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน อันเนื่องมาจากเงินกู้ทุจริตกรุงไทย ซึ่งศาลฎีกาฯ เคยมีคำพิพากษาไปแล้ว และระบุเส้นทางเงินบางส่วนไหลไปกลุ่มบุตรของจำเลยในคดีดังกล่าว ขณะนี้ เวลาล่วงเลยเส้นตายของการสอบสวนพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาไปแล้ว
ล่าสุด นายพานทองแท้ใช้วิธีการโพสต์เฟซบุ๊ค รูปเช็ค 2 ฉบับ และใบนำฝากของธนาคาร ระบุว่าเป็นชื่อของพล.อ.เปรม จำนวนเงิน 250,000 บาท มีลายเซ็น พล.อ.เปรม เซ็นชื่อกำชับว่าให้นำเงินก้อนนี้ไปฝากเข้าบัญชีมูลนิธิรัฐบุรุษ ส่วนเช็คอีกใบสั่งจ่ายเงินสดเข้าบัญชี พล.ร.ท.พระจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิท โดยนายพานทองแท้อ้างว่า เป็นเงินก้อนเดียวกันกับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีกับตนเองในข้อหาฟอกเงิน
ที่น่าแปลกใจก็เพราะว่า แทนที่จะรีบแก้ข้อกล่าวหาในส่วนที่ตนเองถูกกล่าวหา
แต่กลับใช้วิธีการทำนองว่า โน่น คนอื่นก็ได้รับเช็ค แต่ไม่เห็นไปดำเนินคดีฐานฟอกเงิน
อุปมาคล้ายๆ ว่า พอตัวเองถูกจับกุมดำเนินคดี แทนที่จะมุ่งหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้รับเงิน หรือไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาอย่างไร กลับใช้วิธีอ้างว่าคนอื่นๆ ก็ได้รับเงิน ทำไมไม่ถูกดำเนินคดี
2. กรณีดังกล่าว พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษชี้แจงว่า เจตนาของผู้บริจาคต้องการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แต่ในเช็คได้ใส่ชื่อของ พลเอกเปรม แต่ป๋าได้ก็นำเงินส่วนนี้บริจาคเข้ามูลนิธิไปแล้ว ไม่ได้นำมาใช้ส่วนตัว
ข้อนี้ น่าจะสะท้อนเจตนาของฝ่ายผู้ได้รับเงิน ว่าไม่ได้เอาเข้าส่วนตัวเลย
แต่ที่สำคัญ คือ ตัวผู้รับไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับกลุ่มจำเลยในคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทยเลย และไม่ปรากฏชื่อ หรือเส้นทางการเงินในคำพิพากษาคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทยเลย
เพราะฉะนั้น ไม่มีเหตุที่จะไปสอบสวนขยายผลในคดีฟอกเงิน
แตกต่างจากกรณีนายพานทองแท้และพวก
3. อย่าลืมว่า คดีฟอกเงิน ที่นายพานทองแท้และพวกถูกแจ้งข้อหาไปนั้น สอบสวนกันมาข้ามปี
จวนจะหมดอายุความในปีนี้แล้ว
เป็นประเด็นสืบเนื่องต่อมาจากคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558 ยกเว้นจำเลยที่ 1 คือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีคดี
ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราว พร้อมกับออกหมายจับ
ปรากฏว่า ในสำนวนคดีนั้น นายทักษิณถูกกล่าวหาว่า เป็น “บิ๊กบอส” ผู้สั่งการให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อตามที่เอกชนเสนอ ทั้งที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่อาจอนุมัติสินเชื่อให้ ละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ เมื่อเอกชนได้รับสินเชื่อแล้ว ก็ไม่นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์
ปรากฏว่า ในคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เปิดเผยให้เห็นการกระทำอุกอาจ เกี่ยวกับการสั่งการ การอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ ถึงขนาดว่าก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อ ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า บิ๊กบอสหรือซูเปอร์บอส ได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อครั้งนี้ ทั้งที่การเสนอขอสินเชื่อมีเอกสารประกอบเพียง 2 แผ่น และคณะกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทยก็ใช้เวลาพิจารณาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
ปรากฏว่า ในคำวินิจฉัยของนายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตรองประธานศาลฎีกา และเจ้าของสำนวนคดีเงินกู้กรุงไทย ระบุถึงเส้นทางการเงิน บางส่วนสะท้อนถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร
ทั้งกรณีเช็ค 26 ล้าน และกรณีเช็ค 10 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในสำนวนการไต่สวนของ คตส. เดิมคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทยนั้น มีผู้ถูกกล่าวหาถึง 31 ราย โดยปรากฏชื่อ นายพานทองแท้ ชินวัตร นางกาญจนาภา หงษ์เหิน นายวันชัย หงษ์เหิน และนายมานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีต สส.พรรคไทยรักไทย โดย คตส.พบว่า มีเงินไหลเข้าบัญชี เพียงแต่ในชั้นอัยการส่งฟ้องศาล ไม่มีชื่อคนเหล่านี้เป็นจำเลย
เรื่องนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยแสดงความเห็นว่า “เรื่องนี้มีข้อสังเกต คือ หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณกับพวก ให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เข้าบัญชีส่วนตัวนั้น นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อาจถือว่ารับของโจรกลับไม่โดนฟ้อง ซึ่งรวมถึงนางกาญจนาภา หงษ์เหิน และบิดาของน.ต.ศิธา ทิวารี คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ และได้รับเงินก้นถุง แต่อัยการสูงสุดกลับไม่ฟ้อง”
ด้วยเหตุว่า คนกลุ่มนี้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 ในคดีนั้น (ทักษิณ ชินวัตร) จึงเป็นที่สงสัยว่า จะรู้หรือควรรู้ว่าเงินสินเชื่อนั้นได้มาจากการกระทำไม่ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร เมื่อ ปปง.ไปตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มเติม จึงนำมาสู่การแจ้งให้ดีเอสไอดำเนินคดีฟอกเงินในที่สุด
ส่วนคนกลุ่มอื่นๆ เขาไม่มีพฤติการณ์ในลักษณะสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มจำเลยในคดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย
4. ขณะนี้ นายพานทองแท้และพวก ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์
พนักงานสอบสวนดีเอสไอก็อำนวยความสะดวกมาก ได้พิจารณาพยานเพิ่มเติมตามที่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาอ้าง แต่พอถึงเวลาจะสอบปากคำ ฝ่ายพยานเองกลับขอเลื่อนหลายครั้ง ในขณะที่คดีจวนหมดอายุความในปีนี้แล้ว
สังคมกำลังจับตาด้วยความกังวลว่าจะซ้ำรอย “บอส ลูกกระทิงแดง”
5. อันที่จริง เอาทรัพยากรไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามข้อกล่าวหาน่าจะดีกว่า
อันที่จริง ยังอีกกรณีที่ไม่ปรากฏความคืบหน้า
คือ กรณีสินชื่อธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เมื่อปี 2545 ยุครัฐบาลทักษิณ อนุมัติสินเชื่อให้แก่ บริษัท ชินวัตรไทย จำกัด ของนายพายัพ ชินวัตร วงเงิน 95 ล้านบาท โดยมีหลักประกันในการขอสินเชื่อ เป็นที่ดิน 79 ไร่ พร้อมโรงงาน และเครื่องจักร ที่ธนาคารเคยประเมินราคาหลักประกันไว้กว่า 93 ล้านบาท
นายพายัพ ชินวัตร เป็นผู้จดทะเบียนก่อตั้ง เคยเป็นกรรมการบริษัท มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ค้ำประกัน
ต่อมาลูกหนี้รายนี้ ตกเป็นหนี้เน่าของธนาคาร
ปี 2557 เมื่อมีการประเมินราคาหลักประกัน ก่อนขายลูกหนี้เอ็นพีแอลรายนี้ ปรากฏว่า ตีราคาหลักประกันสินเชื่อลดเหลือแค่ 15.5 ล้านบาท (จากในปี 2545 สูงถึง 93 ล้านบาท)
ปรากฏว่า ทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันขอสินเชื่อ คือ อาคารโรงงาน 9 รายการ และเครื่องจักร 293 รายการ มูลค่าเกือบ 80 ล้านบาท ถูกรื้อถอน และขนย้ายออกไป จนหมดสิ้น เหลือสภาพแค่ที่ดินเปล่า
เป็นเหตุให้ราคาหลักประกัน จาก 93 ล้านบาท เหลือแค่ 15.5 ล้านบาท
โดยปกติ หากมีกรณีลูกหนี้เอ็นพีแอลทำการเคลื่อนย้ายหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็น โรงงาน เครื่องจักร ขนย้ายหลักประกันหนีออกไป เอสเอ็มอีแบงก์จะต้องแจ้งความเอาผิดลูกหนี้ ในข้อหาฉ้อโกงเจ้าหนี้
แต่ในนี้ ไม่พบว่า มีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับลูกหนี้รายนี้ในฐานโกงเจ้าหนี้
ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการสอบสวนผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง
ไม่รู้ห้อยของดีอะไร?
สารส้ม

พร้อมกันหรือยัง!!! เปิดภาพพยากรณ์อากาศ 12-13 พ.ย. อุณหภูมิเย็นลงอีกครั้ง
'ไฮโซแพร์' โพสต์อวยพรวันเกิด'เจ เจตริน' พร้อมแคปชั่นน่ารัก my sportsbuddy
นายกฯ เผยการเจรจาภาษีศุลากร มีสัญญาณดี หลังพบ ปธน.ทรัมป์ ครั้งที่ 2
ในหลวง-พระราชินี กษัตริย์จิกมี-ราชินีภูฏาน ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ ‘พระพันปีหลวง’
‘ผู้ช่วย ผบ.ตร.-ผบช.ภ.1’ปล่อยแถวตำรวจสมุทรปราการ คุมเข้มช่วงฮาโลวีน-ลอยกระทง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี