วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568
การลงนามในคำประกาศร่วมผลหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน เป็นสักขีพยาน
เป็นพิธีกรรมให้โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงบทบาทผู้สร้างสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ของโลก
เหมือน “รถแห่” ให้“โดนัลด์ ทรัมป์” ได้เชิดหน้าชูตาตัวเองนั่นแหละ
ส่วนเนื้อหาการปฏิบัติ ก็เป็นไปตามแนวทางระหว่าง 2 ประเทศ ตกลงกันไปแล้วเนื้อหาหลักๆ ตามที่ GBC ประชุมตกลงไปแล้วนั่นเอง (4 เงื่อนไข กัมพูชายอมร่วมปฏิบัติกับฝ่ายไทย)
1. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวบนเวที ระบุว่า
ขอแสดงความเสียใจต่อไทย กรณีการสวรรคตของพระพันปีหลวงซึ่งเป็นผู้ได้รับการเคารพจากคนทั้งโลก
ข้อตกลงเรียกว่า Kuala Lumpur Peace Accord
คุยโวว่า รัฐบาลทรัมป์หยุดสงครามมาแล้ว 8 สงครามใน 8 เดือน ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ต่างจากประธานาธิบดีคนอื่นที่เป็นผู้เริ่มสงคราม พร้อมตำหนิสหประชาชาติว่าควรจะเป็นผู้หยุดสงคราม แต่เมื่อทำไม่ได้ ทรัมป์จึงต้องทำเอง ฯลฯ
ทรัมป์ยังพูดด้วยว่า สหรัฐจะลงนามในสัญญาการค้ากับกัมพูชา
สหรัฐจะทำข้อตกลงเรื่องแร่ธาตุหายากกับไทย
สหรัฐจะมีการค้ากับทั้งสองประเทศมหาศาล ตราบเท่าที่ทั้งสองประเทศยังยืนยันในสันติภาพ
สะท้อนชัดเจนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เอาผลประโยชน์การค้ามาเป็นเครื่องกดดันให้เกิดการลงนามครั้งนี้ขึ้น เพื่อเขาจะได้แสดงบทบาทในเวทีอาเซียน ตามยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกของสหรัฐเอง
ผลประโยชน์เหล่านั้น ก็เหมือน “ค่ารถแห่” ที่สหรัฐต้องหยิบยื่นประโยชน์ให้กับไทยและกัมพูชาด้วย
แต่ถึงขณะนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่า จะเป็นผลประโยชน์มูลค่าเท่าใด
2. นายกฯ ฮุน มาเนต กัมพูชา ประกาศต่อหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า กัมพูชายืนยันจะปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพ และจะทำงานกับไทยและฝ่ายอื่นๆ เพื่อนำสันติภาพและประโยชน์ที่จับต้องได้มาสู่ประชาชน
“ในขณะที่เราพูดคุยกันอยู่ตรงนี้ ผมได้สั่งการผู้บัญชาการทหารให้เริ่มต้นการถอนอาวุธหนักเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงความจริงใจ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าไทยจะปล่อยทหารทั้ง 18 คนโดยเร็ว”
นอกจากนี้ ยังประจบโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อหน้า “ขอบคุณทรัมป์ที่ทำงานเพื่อสันติภาพไม่ใช่เฉพาะไทยและกัมพูชา แต่ทั่วโลก ในนามของชาวกัมพูชาจึงได้เสนอชื่อทรัมป์ให้ได้รับรางวัล
โนเบลสันติภาพ ในฐานะคำขอบคุณจากชาวกัมพูชา”
เรียกว่า ประจบประแจง ขนหน้าแข้งติดลิ้นเลยก็ว่าได้
3. นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ไทย ประกาศต่อหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า
ไทยยืนยันสันติภาพ ข้อตกลงนี้สะท้อนความจริงใจของไทยในการแก้ปัญหานี้อย่างสันติ โดยยังให้ความสำคัญกับบูรณาภาพแห่งดินแดนและอธิปไตย ข้อตกลงนี้ถ้าทำได้จริง จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสันติภาพที่ถาวร และจะถือเป็นการเริ่มกระบวนการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ชุมชนชายแดนที่ถูกแบ่งแยก และพลเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง ข้อตกลงนี้เป็นความรับผิดชอบของทั้งสองประเทศที่จะต้องปฏิบัติตาม
“เชื่อว่าเราสามารถสร้างสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เมื่อหลายเดือนก่อนให้เป็นจริง ด้วยเหตุนี้ ขอประกาศว่าจากข้อตกลงนี้ ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มกระบวนการถอนอาวุธหนักจากชายแดนเพื่อทำให้แน่ใจว่าประชาชนทั้งสองฝ่ายจะปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น และไทยจะเริ่มกระบวนการในการปล่อยตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 คน...
..เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เราจะต้องทำตามข้อตกลงที่ได้ลงนามกันวันนี้ จึงจะทำให้เราเริ่มบทบาทใหม่ รับประกันความปลอดภัยของประชาชน และสร้างสันติภาพที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่ประชาชนของเราคาดหวังและเป็นสิ่งที่ประชาชนของเราควรได้รับ นั่นคือการสร้างสันติภาพที่มีศักดิ์ศรี...”
นายกฯ อนุทิน ยังกล่าวย้ำต่อหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยว่า
“ไทยจะลงนามในกรอบข้อตกลงด้านภาษีตอบโต้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะสนับสนุนการเจรจาการค้ากับสหรัฐที่คาดว่าจะสำเร็จภายในสิ้นปีนี้ และจะลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับความร่วมมือเรื่องแร่หายาก ที่จะช่วยให้เรามีห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงต่อไปอีกหลายปี”
.png)
นี่ก็คือผลประโยชน์ที่ฝ่ายไทยจะได้รับจากสหรัฐโดยตรง
พูดง่ายๆ ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องจ่ายค่ารถแห่ให้ไทยด้วยนั่นเอง
4. กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่คำแปลของ “ถ้อยแถลง ผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทย และนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย”
ลองอ่านดู แล้วพิจารณาว่า ฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย จะทำกันได้จริงแค่ไหน
“... พวกเรา นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทย
และโดยมีประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นสักขีพยาน
ได้พบกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ขอประกาศ ดังนี้
๑. พวกเรายืนยันความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ตามที่ได้ประกาศไว้ ณ เมืองปุตราจายา มาเลเซีย เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ และย้ำความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่น ในการละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง การแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติและการเคารพต่อเขตแดนระหว่างประเทศ และต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง ในภูมิภาค บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกันต่อเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และอัตลักษณ์แห่งชาติของแต่ละประเทศ
๒. พวกเรายืนยันความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการยึดมั่น และดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกัน ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป
๓. พวกเราได้ลงนามในเอกสารขอบเขตการจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) ซึ่งจะประกอบด้วยบุคลากรจากรัฐสมาชิกอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงได้รับ การปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ พวกเราเรียกร้องให้รัฐสมาชิกอาเซียนให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ AOT ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์
๔. นอกจากนี้ พวกเราได้ให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ ร่วมกันระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ เพื่อบรรลุและสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้ พวกเราได้ตกลงในขั้นตอนดังต่อไปนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และ มีประสิทธิภาพ และเพื่อฟื้นฟูสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดน :
• ดำเนินการลดความตึงเครียดทางการทหารภายใต้การสังเกตการณ์และการยืนยันตรวจสอบโดย AOT ซึ่งรวมถึงการถอนอาวุธและยุทโธปกรณ์หนักและทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดน และนำกลับไปยังที่ตั้งปกติของหน่วยทหารแต่ละประเทศ ในบริบทดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะมอบหมายให้คณะทำงาน ของแต่ละฝ่ายร่วมกันหารือเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติการที่ปฏิบัติได้และเป็นขั้นตอน ภายใต้การสังเกตการณ์โดยคณะผู้สังเกตการณ์การหยุดยิงชั่วคราว (IOT) และหลังจากนั้นโดย AOT ตามที่กำหนดในเอกสารขอบเขตการจัดตั้ง
• ละเว้นการเผยแพร่หรือส่งเสริมการใช้ข้อมูลเท็จ การกล่าวอ้าง การกล่าวหา และวาทกรรมที่สร้างความเสียหาย ไม่ว่าจะผ่านช่องทางที่เป็นทางการของรัฐบาลหรือช่องทางไม่เป็นทางการ เพื่อลดความตึงเครียด บรรเทาความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชน และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการหารืออย่างสันติ
• เห็นพ้องที่จะดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นโดยทันทีและเต็มรูปแบบเพื่อฟื้นฟูและรักษาความเชื่อมั่น ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และสันติภาพตามแนวชายแดน และเพื่อแก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ ด้วยความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรภาพ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และร่วมมือเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟู ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
• ประสานงานและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนตามที่ได้ตกลงกันในที่ประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป เพื่อปกป้องชีวิตของพลเรือนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ
• ยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนและการจัดทำหลักเขตแดน ผ่านสันติวิธีและกฎหมาย ระหว่างประเทศ โดยละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง หรือการกระทำที่เป็นการยั่วยุใดๆ และตระหนักว่า คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกทวิภาคีสำหรับการทำงานร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชายแดนอย่างสันติ โดยให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละกลไก โดยให้มีการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในระดับ ท้องถิ่น เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ในพื้นที่ให้เป็นไปโดยสันติ ซึ่งรวมถึงประเด็นการรุกล้ำพื้นที่ของ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตามแนวทางของผลการหารือในการประชุม JBC ตลอดจนจะยุติกิจกรรมทุกประเภท ที่เป็นการขยายขอบเขตข้อพิพาทและเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น
๕. เมื่อมีการดำเนินการตามมาตรการข้างต้นอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับว่าเป็นการสิ้นสุด การเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการส่งเสริมความเชื่อมั่น และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไทยจะดำเนินการปล่อยเชลยศึกโดยพลัน
๖. พวกเราตกลงที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล และการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ รวมทั้งเสริมสร้าง ความเข้มแข็งของการตรวจสอบควบคุมตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของเราทั้งสองประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ
๗. พวกเราตระหนักถึงความจำเป็นในการวางแนวทางเพื่ออนาคตที่สดใสที่ไม่ยึดติดกับความขัดแย้งในอดีต รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ โดยเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศและ สนธิสัญญาและความตกลงที่มีอยู่ สภาวการณ์ต่างๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ทั้งสองประเทศมองไปข้างหน้าและ เริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนบ้าน ตามเจตนารมณ์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติและ หลักการในกฎบัตรอาเซียนเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ ซึ่งจะเป็นการปูทางไปสู่บทใหม่ของสันติภาพ และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
๘. พวกเราแสดงความเชื่อมั่นว่า การหารือครั้งนี้ ซึ่งมีประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เข้าร่วมและให้การสนับสนุน เป็นรากฐานที่มั่นคงต่อความเคารพ ซึ่งกันและกันและการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค พวกเรารับทราบด้วยความขอบคุณอย่างยิ่งต่อบทบาทสำคัญ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์
ในการเสริมสร้างการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เป็นประโยชน์ระหว่าง ราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย ลงนาม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๔ ฉบับ เป็นภาษาอังกฤษ”
5. ถ้าเอาแค่ข้อนี้ “ละเว้นการเผยแพร่หรือส่งเสริมการใช้ข้อมูลเท็จ การกล่าวอ้าง การกล่าวหา และวาทกรรมที่สร้าง ความเสียหาย ไม่ว่าจะผ่านช่องทางที่เป็นทางการของรัฐบาลหรือช่องทางไม่เป็นทางการ เพื่อลด ความตึงเครียด บรรเทาความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชนและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการหารืออย่างสันติ”
กัมพูชาอาจจะต้องตัดเนตของฮุนเซน
สารส้ม

'ป้ารุจี'นักปั้นตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ บุคคลในภาพที่เคยเฝ้ารับเสด็จ'สมเด็จพระพันปีหลวง'
เข้าใจยากตรงไหน? 'โดม'โพสต์สั้นๆง่ายๆ หลังคนงงเรื่องการจัดงานรื่นเริง
‘เอ้ สุชัชวีร์’ศิษย์พระจอมเกล้าลาดกระบัง ร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ‘สมเด็จพระพันปีหลวง’
ไม่ยกเลิกจัดที่ไทย! Miss Universe 2025 พร้อมปรับรูปแบบให้เหมาะสม
จังหวัด-อำเภอทั่วไทยร่วมประกอบพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์'สมเด็จพระพันปีหลวง'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี