วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ภาพรวม ภารกิจนายกฯไทยจากการประชุมที่มาเลเซีย โดยเฉพาะในเรื่องการแก้ปัญหาการสู้รบไทย-กัมพูชา เป็นอย่างไรบ้าง?
1. หากไทยและกัมพูชา เดินหน้าตามข้อตกลงจริง ย่อมจะเป็นผลดีต่อทั้งสองประเทศ
ยุติการสู้รบ หยุดความสูญเสียชีวิต เลือดเนื้อ
และลงมือแก้ปัญหาที่ฝ่ายกัมพูชาไม่เคยให้ความร่วมมือมาโดยตลอด
2. คนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่ไว้ใจกัมพูชา
แน่นอน นายกฯ อนุทิน รัฐบาล และทหารไทย ก็ยังไม่วางใจ
จึงวางเงื่อนไข จะเปลี่ยนแปลงสถานะกัมพูชาจากความเป็นปรปักษ์ หรือภัยคุกคาม ก็ต่อเมื่อ มีการดำเนินการตามข้อตกลงที่ชัดเจน
ซึ่งก็คือ 4 เรื่องใหญ่ๆ ที่เราเป็นฝ่ายกำหนดเงื่อนไข และกัมพูชายอมตกลงแล้วนั่นเอง
หลังจากนั้น จึงจะพูดคุยเรื่องเปิดด่าน
4. การเจรจาบนโต๊ะ อาจเป็นภาพที่ไม่สบอารมณ์ของคนบางส่วน เพราะผู้นำกัมพูชา นั่นคือคนที่เพิ่งรบกันมา
แต่ในโลกความเป็นจริง เมื่อต้องการให้กัมพูชาปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เรากำหนด ทำได้ 2 ทาง
ทางแรก รบจนยึดประเทศกัมพูชาได้เบ็ดเสร็จ แล้วกำหนดให้เขาทำตาม ในฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม ซึ่งมองด้วยเหตุผลในโลกความเป็นจริงแล้ว เป็นไปไม่ได้ ที่ประชาคมโลกจะยอมให้ไทยทำสงครามใหญ่แบบรุกเอาประเทศกัมพูชาในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกเช่นนี้
ทางที่สอง ใช้อำนาจต่อรอง กดดัน จนกัมพูชายอมทำตามเงื่อนไขที่ไทยกำหนด
แนวทางหลังนี้ สุดท้าย ก็ต้องคุยกันบนโต๊ะเจรจาทางการทูต และนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ซึ่งแน่นอน จะให้ผู้นำกัมพูชา ยกธงขาว ประกาศยอมแพ้ประเทศไทย ก็เป็นไปไม่ได้ ในทางการเมืองจะต้องเป็นรูปการณ์พูดคุยสันติภาพ แต่เนื้อหาของข้อตกลง ก็คือฝ่ายกัมพูชายอมทำตามเงื่อนไขของฝั่งไทยนั่นเอง
5. ในการพูดคุยทวิภาคี ระหว่างนายกฯไทย กับกัมพูชา
นายกฯ อนุทิน เปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือเพื่อเร่งดำเนินการตามปฏิญญาที่ได้ลงนาม 4 ข้อ
1) การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน
2) การเก็บกู้ทุ่นระเบิด
3) การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกมเมอร์
4) การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ นายกฯ ชี้แจงถึงการสัมภาษณ์ที่พูดตกหล่นเรื่อง ไทยรุกล้ำกัมพูชา ว่าตกคำว่า “พื้นที่อ้างสิทธิ์” ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นมีคนไทยและคนกัมพูชาอาศัยอยู่ การดำเนินการจึงต้องมีหลักความยุติธรรม
นายกฯ ไทย ย้ำว่า ไทยต้องการเห็นการถอนอาวุธหนักอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมเร่งเพิ่มความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เก็บกู้ทุ่นระเบิด และการสื่อสารทางการทูต โดยจะมอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายพบหารือกันโดยเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการดำเนินการตามข้อตกลง 4 ข้อ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้อย่างรวดเร็วและเรียบร้อย
ส่วนเรื่องการเปิดด่าน นายกฯ อนุทินยืนยันว่า ไม่มีการพูดถึงการเปิดด่านจนกว่าการดำเนินการทั้งหมดจะสิ้นสุดลง หากทั้ง 4 ข้อนั้นดำเนินการไปด้วยความเรียบร้อย จึงจะมาพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ต่อไป
6. พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า การพิจารณาปล่อยตัวเชลยศึกของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักกติกาสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งจะพิจารณาจากลักษณะท่าทีของความเป็นปฏิปักษ์ ที่เคยมีต่อกัน ต้องมีการลดระดับลงชัดเจน ผ่านผลการดำเนินการตามข้อตกลงที่ทั้งสองประเทศเห็นชอบร่วมกันไว้แล้ว 4 ข้อหลัก ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน
ในปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มจัดทำ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) ตามกรอบห้วงเวลา และเริ่มปฏิบัติแล้วบางส่วน เช่น
การถอนอาวุธหนัก อย่างกรณีการเคลื่อนย้ายรถถังออกจากพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อ 28 ต.ค. 2568 ได้มีการประชุม ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 ของไทย และภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา เพื่อลงรายละเอียดขั้นตอนการปรับกำลังและถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ พร้อมกำหนดกรอบระยะเวลาในการปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นระบบ
.png)
.png)
สำหรับด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ฝ่ายไทยได้เสนอพื้นที่ดำเนินการเบื้องต้นจำนวน 13 พื้นที่ ครอบคลุมเขตปฏิบัติของกองทัพภาคที่ 1, กองทัพภาคที่ 2 และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วใน 4 พื้นที่ และจะขยายผลต่อเนื่องไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป โดยเฉพาะในช่วงหลักเขตที่ 42–47 ซึ่งเมื่อพื้นที่มีความปลอดภัย จะเข้าสู่กระบวนการสำรวจเพื่อจัดทำหลักเขตแดนชั่วคราว และตรวจสอบสิทธิ์การถือครอง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย
ในส่วนของการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและขบวนการสแกมเมอร์ รัฐบาลได้มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กระทรวงมหาดไทย ร่วมกันดำเนินการ โดยได้ประสานส่งข้อมูลเป้าหมายให้กับทางการกัมพูชา พร้อมจัดตั้ง ทีมเฉพาะกิจร่วม (Joint Task Force) เพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนี้ ฝ่ายไทยจะดำเนินการติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินการตามแผนและขั้นตอน ตามที่ได้มีการตกลงและเห็นชอบร่วมกันไว้ ผ่านเวทีการประชุม JBC, GBC และ RBC เพราะหากสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมที่เพียงพอ กองทัพบกอาจจะพิจารณาเสริมใช้มาตรการอื่นภายใต้กรอบกฎหมาย และกติกาสากลมาสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อดำรงความมุ่งมั่นในการปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ
7. หมุดหมายสำคัญ สร้างสันติภาพ–ลดความตึงเครียดชายแดน
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า การลงนามในเอกสาร “ปฏิญญาร่วมเพื่อสันติภาพและความมั่นคง” ในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ณ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้นำอาเซียนและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน ข้อตกลงครั้งนี้มีผลดีต่อประเทศไทยหลายประการ ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจชายแดน และภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก
“ถือเป็นการทำในสิ่งที่เราอยากให้เป็นอยู่แล้ว ทั้งการถอนอาวุธหนัก ปราบสแกมเมอร์กู้ทุ่นระเบิด จัดการชายแดน เป็นความต้องการจากฝั่งไทยทั้งสิ้น เอาขึ้นมาอยู่บนโต๊ะเจรจา แล้วได้นานาชาติ มาเป็นสักขีพยาน ก็ถือว่าไทย ประสบความสำเร็จมากแล้ว ทีนี้ ก็ขึ้นกับความจริงใจของกัมพูชา ถ้ากัมพูชามีลูกเล่น ก็จะเสียความน่าเชื่อถือจากนานาชาติ ตอนนี้ กัมพูชา ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรได้มากนัก หลังจากโดนตั้งข้อสังเกตจากนานาชาติ เรื่องเป็นฐานสแกมเมอร์และการที่ชายแดนปิด กัมพูชา ได้รับผลกระทบมหาศาล เชื่อว่า กัมพูชา จะเดินตามข้อตกลงในที่สุด” - รศ.ดร.ยุทธพร
8. ผลประโยชน์ของระบอบทักษิณและระบอบฮุนเซนทำขัดแย้ง กำลังถูกแก้ไขในยุคนี้
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว นักรัฐศาสตร์ ม.บูรพา มองว่า การลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างไทย–กัมพูชา–สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่พลิกโฉมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในบริบทของการสร้างสันติภาพหลังจากความตึงเครียดทางชายแดนไทย-กัมพูชาที่ดำเนินมายาวนานตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว
ก่อนหน้าการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลภูมิใจไทย ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาถูกครอบงำด้วยความไม่ไว้วางใจซึ่งสั่งสมมาเป็นเวลานาน ความขัดแย้งเกี่ยวกับเขตแดน ส่งผลให้ทั้งสองประเทศต้องสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและความร่วมมือในระดับภูมิภาค ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างผู้นำทางการเมืองในอดีตที่มีลักษณะของความใกล้ชิดกลับถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและผลประโยชน์ทับซ้อนมีวาระซ่อนเร้นอำพรางทำให้การดำเนินการขาดความน่าเชื่อถือ
ข้อตกลงนี้ เน้นหลักการสำคัญของความเสมอภาคแห่งรัฐ และการเคารพเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยกำหนดให้มีคณะผู้สังเกตการณ์ร่วมภายใต้กรอบอาเซียนช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอกโดยตรง และยังเป็นการยืนยันว่าไทยต้องการสร้างสันติภาพบนฐานของความร่วมมือและความไว้วางใจ ไม่ใช่บนแรงกดดันหรือผลประโยชน์ฝ่ายเดียว
รัฐบาลยังได้ขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจสันติภาพชายแดน(Border Peace Economy)เพื่อเปลี่ยนพื้นที่แห่งความขัดแย้งให้กลายเป็น พื้นที่แห่งโอกาสโดยเฉพาะจังหวัดสระแก้ว บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ที่มีศักยภาพเชื่อมโยงเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานกับกัมพูชา แนวทางนี้ไม่เพียงสร้างรายได้และการจ้างงาน แต่ยังทำให้ประชาชนทั้งสองฝั่งรู้สึกเป็นมิตรและพึ่งพากันได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นรากฐานของสันติภาพที่ยั่งยืน
ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสันติภาพ ไม่ใช่การยอมอ่อนข้อให้ต่างชาติ
ในเชิงยุทธศาสตร์ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลภูมิใจไทยสะท้อนแนวคิด สันติภาพที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วม มากกว่าการยุติความขัดแย้งเพียงชั่วคราว รัฐบาลเลือกเข้าร่วมความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาโดยรักษาความสมดุลกับอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้ไทยถูกมองว่าเข้าข้างมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง การวางตัวเช่นนี้สะท้อนถึง ความเป็นกลางเชิงยุทธศาสตร์ที่เน้นการรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
9. ประโยคสำคัญที่นายกฯ อนุทิน กล่าวต่อหน้าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คือ
“ไทยยืนยันสันติภาพ ข้อตกลงนี้สะท้อนความจริงใจของไทยในการแก้ปัญหานี้อย่างสันติ โดยยังให้ความสำคัญกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตย
ข้อตกลงนี้ถ้าทำได้จริง จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสันติภาพที่ถาวร
และจะถือเป็นการเริ่มกระบวนการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ชุมชนชายแดนที่ถูกแบ่งแยก และพลเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง
ข้อตกลงนี้ เป็นความรับผิดชอบของทั้งสองประเทศที่จะต้องปฏิบัติตาม
..เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เราจะต้องทำตามข้อตกลงที่ได้ลงนามกันวันนี้จึงจะทำให้เราเริ่มบทบาทใหม่ รับประกันความปลอดภัยของประชาชน และสร้างสันติภาพที่แท้จริง
นี่คือสิ่งที่ประชาชนของเราคาดหวังและเป็นสิ่งที่ประชาชนของเราควรได้รับ นั่นคือการสร้างสันติภาพที่มีศักดิ์ศรี...”
นอกจากนี้ นายกฯ อนุทิน ยังกล่าวย้ำต่อหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยว่า
“ไทยจะลงนามในกรอบข้อตกลงด้านภาษีตอบโต้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะสนับสนุนการเจรจาการค้ากับสหรัฐที่คาดว่าจะสำเร็จภายในสิ้นปีนี้ และจะลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับความร่วมมือเรื่องแร่หายาก ที่จะช่วยให้เรามีห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงต่อไปอีกหลายปี”
สรุป
ผลประโยชน์ของระบอบทักษิณและระบอบฮุนเซนทำขัดแย้ง สะท้อนผ่านคลิปเสียงอังเคิล ผลกรรมตกแก่ประชาชนและประเทศชาติบ้านเมือง บาดเจ็บล้มตาย ต้องอพยพกันหลายแสนคน
ปัญหากำลังถูกแก้ไขในยุคนี้
และถ้าทำสำเร็จ จะเป็นการยุติสงคราม หยุดความสูญเสีย ปกป้องอธิปไตย เอาแผ่นดินคืนมาอย่างถาวร บนพื้นฐานการสร้างสันติภาพที่มีศักดิ์ศรี มั่นคง
สารส้ม

แนวหน้าวิเคราะห์ : แหล่งแร่’แรร์เอิร์ธ’-สหรัฐสนใจ อยู่ในโซนไหนของประเทศไทย
กรมอุตุฯเตือน‘13 จังหวัด’ฝนตกหนัก ‘กทม.’ฟ้าคะนอง40% ของพื้นที่
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงก่อตั้ง ‘พิพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ’ แหล่งความรู้ที่ยั่งยืนผ่านเครื่องแต่งกายในราชสำนัก
หงส์ร่วงบอลถ้วย!พ่ายพาเลซคารัง-เช็คผลทุกคู่
พร้อมกันหรือยัง!!! เปิดภาพพยากรณ์อากาศ 12-13 พ.ย. อุณหภูมิเย็นลงอีกครั้ง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี