วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
ราคาทองคำลดลงฮวบฮาบ..
เมื่อวาน ราคาตลาดโลกอยู่ที่ราวๆ 3,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (จากที่เคยขึ้นไปอยู่ที่ 4,300 ดอลลาร์กว่าๆ)
ส่วนราคาขายทองคำแท่งในบ้านเรา วันเดียวลดลงไปอีก 2 พันกว่าบาท
ราคาทองคำแท่งลงมาอยู่ที่ 60,000 กว่าบาทแล้ว (จากที่เคยขึ้นไปอยู่ที่ 67,000 ปลายๆ)
คำถามที่ทั่วโลกสนใจ คือ ทองคำจะลงต่ำกว่านี้อีกแค่ไหน? แล้วจะมีโอกาสพุ่งสูงขึ้นไปที่จุดเดิม หรือทะลุเพดานไปกว่าเดิม หรือไม่?
1. คำถามข้างต้น ไม่มีใครตอบได้ 100% เพราะดีมานด์ของทองคำที่กำหนดราคาทองคำในตลาดโลก มาจากปัจจัยต่างประเทศหลายอย่าง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ให้คำเตือนสั้นๆ ว่า
“จากยอด 4,400 ทองลงมาแล้วมากกว่า - 10% !!!
ลดมาต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์
ทำให้รวมแล้ว ใน 1 สัปดาห์ ลงมากกว่า 450 ดอลลาร์/ออนซ์
นับเป็นการลงที่แรงสุดในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา !!!
ช่วงนี้ ต้องลงทุนด้วยความระมัดระวังครับ”
2. โกลด์แมน แซคส์ ปรับเป้าหมายราคาทองคำปี 2026 โดยคาดการณ์ว่า จะแตะ 4,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในไตรมาสแรก
และพุ่งขึ้นถึง 5,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในไตรมาสสุดท้ายของปี
ตัวเลขนี้ หมายความว่า ราคาทองคำแท่งในประเทศมีโอกาสจะขึ้นไปถึง 78,000 บาท
โกลด์แมน แซคส์ ยังคงมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อทองคำ โดยมองว่าการปรับฐานของราคาล่าสุดเป็นสัญญาณที่ดีต่อสุขภาพของตลาด และไม่ได้เปลี่ยนแนวโน้มขาขึ้น
ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก 3 ประการ คือ
การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำเฉลี่ยปีละ 760 ตันในปี 2025 และ 2026 สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 ที่ 400–500 ตัน
เงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ประมาณ 360 ตัน
และวัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 3 ครั้งในช่วงต้นปี 2026
โกลด์แมน แซคส์ มองว่า ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนรุนแรงในสัปดาห์นี้ หลังจากปรับตัวขึ้นกว่า 50% ตั้งแต่ต้นปี จนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใกล้ 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ก่อนจะร่วงหนักที่สุดในรอบทศวรรษ
3. นักลงทุนทองคำทั่วโลก สงสัยว่า ราคาทองคำขาขึ้นครั้งใหญ่สิ้นสุดลงแล้วหรือยัง?
หรือว่า ควรจะเข้าไปซื้อเมื่อราคาร่วงต่ำลงช่วงนี้?
โดยปกติ ราคาทองคำจะฟื้นตัว เมื่อผลตอบแทนพันธบัตรลดลง และดอลลาร์อ่อนค่า
ขณะนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในจุดเปลี่ยนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังผลักดันให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อขยับสูง
ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแรงลง สะท้อนจากจำนวนการเลิกจ้างและอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะลดดอกเบี้ยตามแนวทางเดิม
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กดผลตอบแทนพันธบัตรให้ลดลง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทำให้หลายสถาบันประเมินว่า แม้ราคาทองคำอาจทดสอบระดับแนวรับใกล้ 4,000 ดอลลาร์ แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีและต่อเนื่องถึงปี 2026
4. นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ในรอบสัปดาห์นี้ตั้งแต่วันที่ 27-30 ตุลาคม 2568 ราคาทองคำจะยังมีการผันผวนค่อนข้างแรง เนื่องจากมีปัจจัยที่ต้องจับตา คือ การเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญในการคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศ
หากผลการเจรจาเป็นไปในเชิงบวกอาจช่วยลดความกังวลของตลาด และกดดันราคาทองคำ
ยังมีเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ จะมีการประชุมวันที่ 28-29 ตุลาคมนี้ รวมถึงได้รับแรงกดดันจากแรงเทขายทำกำไร แต่ไม่น่าจะมีผลทำให้ทองคำราคาปรับลดลงจนหลุดบาทละ 60,000 บาท
“ช่วงเดือนตุลาคมราคาปรับขึ้นกว่า 4,000 บาทแล้ว หลังเดือนตุลาคมไปแล้ว ราคาทองน่าจะไม่มีความผันผวนและจะเห็นราคาที่ปรับฐาน เพื่อรอจังหวะขึ้น ซึ่งผมยังมองว่าในระยะยาวราคาทองยังเป็นขาขึ้น เพื่อทำราคานิวไฮใหม่ จากก่อนหน้านี้ทำนิวไฮที่บาทละ 67,400 บาท คาดการณ์ปลายปีนี้ทองคำโลกจะแตะ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนทองคำไทยน่าจะแตะ 69,000 บาท” –นายจิตติกล่าว
5. เพจ Wealthy Thai ตั้งคำถามและชวนวิเคราะห์น่าคิด ว่าด้วยเรื่อง “New High =New Bubble?” ราคาทอง 2025 จะย้อนรอยฟองสบู่ทองในอดีตหรือไม่
Wealthy Thai ระบุว่า
.png)
.png)
“การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของราคาทองคำในปี 2025 ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักเตือนถึงความเสี่ยงของภาวะ “ฟองสบู่”
โดย John Higgins หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics กล่าวว่า ราคาทองคำ “ได้พุ่งเกินมูลค่าที่แท้จริง” โดยปัจจุบันอยู่สูงกว่า ราคาในปี 1980 (ที่ถูกปรับตามเงินเฟ้อเพื่อให้เทียบเท่ากับราคาในยุคนี้) ถึง 60% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่าสามเท่า นอกจากนี้ยังระบุว่าราคาทองกำลังขึ้นในทิศทางที่ “ไม่สัมพันธ์กับดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ” (ซึ่งต่างจากที่ผ่านๆ มาที่ราคาทองกับดอกเบี้ยและเงินเฟ้อมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ)
คำถามที่หลายคนอาจกำลังสงสัยคือ ราคาทองที่พุ่งขึ้นในตอนนี้เข้าสู่ภาวะ “ฟองสบู่” แล้วหรือยัง? แล้วมีโอกาสที่จะลงเอยแบบในอดีตปี 1980 และ 2011 หรือไม่? ....
....อะไรเกิดขึ้นกับฟองสบู่ทองคำในอดีต?
ปี 1980: ฟองสบู่ทองคำจากความกลัวเรื่องเงินเฟ้อ
ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เงินเฟ้อในสหรัฐทะลุ 13%, สงครามเย็นทวีความตึงเครียด, และราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นสองเท่า ทองคำจึงกลายเป็น “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงสูงสุด” และความกังวลต่อความเสี่ยงนี้เองทำให้เกิดการแห่กันซื้อทองคำจนราคาพุ่งจาก $185 ต่อออนซ์ ขึ้นเป็น $850 ต่อออนซ์ (+360%) ในเวลาไม่ถึงสองปี แต่เมื่อธนาคารสหรัฐฯ ซึ่งมี Paul Volcker เป็นประธานในตอนนั้น ปรับขึ้นดอกเบี้ยเกิน 15% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ การแห่ซื้อทองก็หยุดลงแทบจะทันที โดยภายในปี 1982 ราคาทองคำร่วงลงกว่า 60% และไม่กลับสู่จุดสูงสุดนั้นอีกเป็นเวลาหลายสิบปี
ปี 2011: ฟองสบู่ทองคำจากการเก็งกำไรหลังวิกฤตการเงิน
หลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ความกังวลเรื่องการพิมพ์เงินจำนวนมากและการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลทั่วโลก ทำให้ความนิยมสะสมทองคำกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่ต่างไปคือ กองทุน ETF ทำให้ประชาชนเข้าถึงทองคำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้มี demand เพิ่มขึ้นจากเก็งกำไรของรายย่อยทะลักเข้ามา ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก $700 ต่อออนซ์ในปี 2008 เป็น $1,920 ในปี 2011 แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยก็ไหลกลับเข้าไปหาเงินดอลลาร์อีกครั้ง นักลงทุนบางส่วนเลือกขายทองคำเพื่อปรับพอร์ตไปถือเงินดอลลาร์ เป็นเหตุให้ราคาทองคำร่วงลงถึง 45% ภายในปี 2015 []
แล้วราคาทองปี 2025 เรียกว่าเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วหรือไม่?
นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics, Bloomberg และสถาบันวิจัยอื่นๆ เริ่มเห็นสัญญาณว่าการพุ่งขึ้นของราคาทองในครั้งนี้มีแนวโน้มเป็นฟองสบู่ จากปัจจัยต่างๆ เช่น
1. ราคาพุ่งสูงเกินเหตุ ... ราคาทองคำที่ปรับตามเงินเฟ้อในปี 2025 สูงกว่าจุดสูงสุดในปี 1980 ถึง 60% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวถึงสามเท่า ซึ่งนักวิเคราะห์กล่าวว่าความยืดตัวของราคาในระดับนี้มักปรากฏเมื่อเข้าใกล้จุดสูงสุดของวงจรเก็งกำไร
2. ปัจจัยพื้นฐานไม่สัมพันธ์กันอีกต่อไป ... ปกติแล้วราคาทองจะลงเมื่อดอกเบี้ยแท้จริง (real interest rate) ปรับขึ้น และจะปรับขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์นี้เริ่มผิดปกติ เพราะแม้เงินเฟ้ออยู่เพียงราว 3% ราคาทองก็ยังพุ่งแรง นอกจากนี้ ข้อมูลของ Discovery Alert ยังพบว่าความเชื่อมโยง (correlation) ระหว่างทองกับดอกเบี้ยแท้จริงอ่อนลงจาก -0.7 เหลือ -0.3 ซึ่งสัญญาณนี้แสดงให้เห็นว่าราคาของทองคำกำลังขยับออกห่างจากปัจจัยพื้นฐานของตัวมันเอง
3. เริ่มมีสัญญาณการเก็งกำไร ... การพุ่งขึ้นครั้งนี้มีส่วนจากจิตวิทยากลัวตกขบวน (Fear of Missing Out) มากกว่าจากข้อมูลเศรษฐกิจด้วย โดย Bloomberg และนักกลยุทธ์การลงทุนพันธบัตรระดับตำนานอย่าง Bill Gross อธิบายว่าเป็น “แรงโมเมนตัมและกระแสมีม” ที่นักลงทุนรายย่อยแห่เข้าลงทุนใน ETF และฟิวเจอร์สทองคำแตะระดับสูงสุด ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการกลัวตกกระแสของรายย่อย
4. สัญญาณเตือนเริ่มปรากฏ ... ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 55% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ปี 1979 แต่ล่าสุดการร่วงลง 6% ในเดือนตุลาคมอาจเป็นสัญญาณว่าราคากำลังร้อนแรงเกินไปและมีความเสี่ยงต่อการปรับฐานเฉียบพลัน
เมื่อรวมกันแล้ว ปัจจัยเหล่านี้ก็ชี้ว่าการขึ้นของราคาทองตอนนี้มีความใกล้เคียงกับสภาวะ “ฟองสบู่” โดยเมื่อเทียบกับอดีตอาจมีความเสี่ยงจะเป็นฟองสบู่ครั้งที่ใหญ่กว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
สิ่งที่เหมือนกับฟองสบู่ในอดีต ... ราคาพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด: จาก $1,600 ในปี 2022 มาเป็น $4,100 ในปี 2025 คล้ายกับกราฟการพุ่งขึ้นของราคาทองคำที่เกิดขึ้นในปี 1980 และ 2011
ความกลัวเป็นตัวกระตุ้น: ไม่ว่าจะเป็นจาก เงินเฟ้อ (1980) วิกฤตหนี้ (2011) หรือสงครามการค้า (2025)
ราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน: เช่นเดียวกับในปี 1980 การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตอนนี้สูงเกินกว่าความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่สมเหตุสมผล
สิ่งที่ต่างออกไปในรอบนี้ ... ปัจจัยขับเคลื่อนมาจากภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ใช่เงินเฟ้อ: ความต้องการในปัจจุบันเกิดจากความพยายาม “ลดการพึ่งพาดอลลาร์” และความตึงเครียดด้านการค้าโดยเฉพาะจีนที่กระจายทุนสำรอง
เป็นการซื้อของธนาคารกลางเสียส่วนใหญ่ ไม่ใช่รายย่อย: ในปี 2025 การสะสมทองมาจาก ธนาคารกลางของหลายประเทศ ที่ต้องการเสริมความมั่นคงของเงินสกุลตนเอง และลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ (Dedollarization) ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น ซึ่งต่างจากปี 2011 ที่ธนาคารกลางไม่ได้สะสมทองคำเองขนาดนี้
กระแสการซื้อทองยุคดิจิทัล : แพลตฟอร์มออนไลน์, fractional gold, และอัลกอริทึม ทำให้การเก็งกำไรเกิดขึ้นทันใจ โดย The Wall Street Journal ระบุว่าราคาทองปีนี้มีพฤติกรรมแบบ “ฟองสบู่ยุคฟินเทค” ที่ถูกขยายด้วยโซเชียลและการเทรดอัตโนมัติ
สรุปว่าราคาทองในปัจจุบันเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วหรือไม่? และจะจบแบบเดิมหรือเปล่า?
จากภาพรวมข้อมูลในปัจจุบัน บอกได้ว่า ราคาทองวันนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะอยู่ในภาวะ “ฟองสบู่”ทั้ง ราคาหลุดจากปัจจัยพื้นฐาน, มีสัญญาณว่านักลงทุนแห่ซื้อเพราะกลัวตกขบวน (FOMO) ที่ทำให้เกิดการเก็งกำไร (Speculative Demand) และ ความเคลื่อนไหวของราคามีความผันผวนสูงขึ้น ซึ่งสัญญาณเหล่านี้มีความคล้ายอย่างมากกับช่วงก่อนฟองสบู่แตกในอดีต
แต่ต่างจากอดีตตรงที่มี “แรงหนุนเชิงโครงสร้าง” จากธนาคารกลางหลายประเทศ ที่แข็งแกร่งกว่าอดีตมาก ซึ่งอาจทำให้คิดว่าราคาทองมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงยาวนานและรุนแรงน้อยกว่าเมื่อปี 1980 หรือ 2011 เนื่องจากหากราคาทองปรับตัวลงรุนแรง ธนาคารหลายประเทศจะเกิดความเสียหายหนัก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการตัดสินใจพยายามพยุงราคาไม่ให้ปรับลดอย่างที่เรียกว่า “ฟองสบู่แตก” เช่น ในอดีต
โดยรอบนี้ราคาทองคำมีแรงผลักใหม่ที่ไม่เคยเกิดพร้อมกันมาก่อน เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ (de-dollarization) และมีเทคโนโลยีที่ทำให้การซื้อขายเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จึงอาจเป็นคำตอบที่ทำให้การปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ของทองคำสูงกว่าครั้งไหนๆในอดีต
ทั้งนี้ สิ่งที่อาจเป็นไปได้มากที่สุด คือการที่ราคาทองอาจมีการพักฐานแรงเป็นช่วงๆ เมื่อมีความร้อนแรงเกินไปในระยะสั้น เหมือนเมื่อเร็วๆนี้ในเดือนตุลาคม แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลับมาทรงตัวที่ระดับสูงกว่าอดีตในระยะยาว เพราะโครงสร้างความต้องการทองกำลังเปลี่ยนไปจากปัจจัยหนุนใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต...” - Wealthy Thai วิเคราะห์
สุดท้าย.. ขอย้ำว่า ราคาทองคำในบ้านเรา ถูกกำหนดจากปัจจัยต่างประเทศ ไม่เกี่ยวกับคนไทยซื้อหรือขายมากน้อยแค่ไหน (เพราะเป็นปริมาณส่วนน้อยในโลก) เพราะฉะนั้น การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องตระหนักว่าเงินที่ซื้อทองคำ แม้จะมีสภาพคล่องสูง ขายได้ทุกเมื่อ แต่ราคาที่ผันผวนระยะสั้น ก็ทำให้มีโอกาสขาดทุนหรือกำไรได้ทั้งนั้น เว้นแต่จะมีเงินเย็น ซื้อเก็บยาวๆ 5 – 10 ปี ความเสี่ยงจะลดน้อยลง
สารส้ม

ผบ.ตร.ย้ำเด็ดขาดไม่เอาไว้ ตัดนิ้วร้าย รองผู้กำกับการ พัวพันบัญชีม้า
'หงส์ไทย'ยอมรับ! เรียกคืน2แสนกระปุก สมุนไพร'ผิดมาตรฐาน'ทันที พร้อมคืนเงินเต็มจำนวน
‘ในหลวง-พระราชินี‘ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ 'พระพันปีหลวง' วันที่ 3
คุม 2 ผู้ต้องสงสัย เหตุลอบวางระเบิดเส้นทางรถไฟระแงะ นราธิวาส
‘หยู’แชมป์โลก!ต้อนโสมขาด-ขึ้นแท่นจอมเตะไทยคนที่6

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี