อย่าให้คนโกง ได้มีที่ยืน (นอกจากในคุก)
เงินที่โกงไป ต้องติดตามยึดคืน
ถ้าประเทศไทยสามารถดำเนินการทั้งสองทางนี้ได้ เชื่อว่า ปัญหาการทุจริตโกงกินที่หมักหมมมายาวนานในบ้านเรา จะบรรเทาลงได้อย่างแน่นอน
ล่าสุด กรณีเช็คบิลแก๊งโกงเงิน สกสค. มีความคืบหน้าที่น่าสนใจ
1.เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศพนักงานเจ้าหน้าที่ สำนักงาน ปปง.
เกี่ยวกับกรณีทุจริตเงิน สกสค.
ประกาศให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิจากการกระทำความผิดมูลฐาน
ระบุว่า คณะกรรมการธุรกรรม ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 13/2561 เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ให้ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิด รายนายเกษม กลั่นยิ่ง กับพวก ไว้ชั่วคราว จำนวน 30 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน จึงได้ออกประกาศ ขอให้ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินจากการกระทำความผิดมูลฐานในรายคดีดังกล่าว ที่ไม่อาจดำเนินการเพื่อขอคืนทรัพย์สินหรือชดใช้คืนความเสียหายดังกล่าวได้ตามกฎหมายอื่น หรือดำเนินการตามกฎหมายอื่นแล้วแต่ไม่เป็นผล ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดแห่งความเสียหาย และจำนวนความเสียหายที่ได้รับ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สานักงาน ปปง. ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ 20 ก.ค. 2561
พูดภาษาชาวบ้าน คือ ประกาศให้ผู้เสียหายสามารถเข้าไป “วางบิล”
เพื่อขอคืนทรัพย์สิน หรือชดใช้คืนความเสียหาย จากกรณี สกสค.ถูกแก๊งโกงเงินรุมเขมือบ
2.ถ้าจำกันได้ คดีเกี่ยวกับการโกงเงิน สกสค. แยกเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ กองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)
กรณีอนุมัติเงินจากกองทุน ช.พ.ค. จำนวน 2,500 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด โดยมิชอบ
กรณีนี้เอง ที่ประสาน ปปง. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงิน
อีกส่วนหนึ่ง เป็นคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือ เดอะบิ๊ก อดีตประธานสโมสรทีมฟุตบอลเพื่อนตำรวจ และนายสิทธินันท์ หลอมทอง กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม
คดีในส่วนนี้ ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา คดีปลอมตั๋วเงิน หมายเลขดำอ.134/2559 จำคุก คนละ 10 ปี ไม่รอการลงโทษ
3.กรณีศาลอาญาพิพากษาไปแล้วนั้น เฉพาะในส่วนที่ “เดอะบิ๊ก” กับพวก ร่วมกันปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม โดยการกระทำความผิดในคดีนี้ เป็นเสมือน “ฉากหนึ่ง” ในขบวนการทุจริตเงิน สกสค.
นั่นคือ การปลอมเอกสารตั๋วแลกเงิน หรือดราฟท์ (Draft ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบงก์กิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด อ้างมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,200 ล้านบาท ไปแสดงต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อค้ำประกันตั๋วสัญญาใช้เงินของ บริษัท บิลเลี่ยนฯ จำนวน 2,100 ล้านบาท ที่ร่วมกันนำมาขายให้ สกสค.
ขณะนี้ จำเลยติดคุก รอต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
4.แต่ขบวนการทุจริตเงิน สกสค.นั้น มีทั้งคนใน และคนนอก
ในส่วนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไปแล้ว มีทั้งข้าราชการ ผู้บริหาร สกสค. ถูกชี้มูลความผิดร้ายแรง
โดยที่ “เดอะบิ๊ก” และพวก ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นฝ่ายที่นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายให้ สกสค. ก็ยังถูกชี้มูลฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอีกด้วย
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2560 ผู้ที่ถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอาญาร้ายแรง อาทิ นายเกษม กลั่นยิ่ง นายสมศักดิ์ ตาไชย และพวก รวมถึงฝ่ายเอกชน อาทิ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา เป็นต้น
คณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องนี้ มีศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นอนุกรรมการ ไต่สวนละเอียด ชัดแจ้ง
ระบุถึงขนาดว่า
23 ธ.ค.2556 สกสค.ได้รับหนังสือเชิญชวนบริษัทบิลเลี่ยนฯ ซึ่งมีนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา นายสิทธินันท์ หลอมทอง และนายมงคล เยี่ยงศุภพานนทร์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
25 ธ.ค. 2556 เวลา 18.00 น. ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. อนุมัติให้นำเงินของกองทุน ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัทบิลเลี่ยนฯ 2,100 ล้านบาท โดยพิจารณาจากเอกสารของบริษัทบิลเลี่ยนฯ ที่เชิญชวนเพียงฉบับเดียว
ที่สำคัญ ไม่ทำการตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับการอาวัลของธนาคารอันเป็นเงื่อนไขสำคัญ ทั้งๆ ที่ ไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งอนุมัติเช่นนั้น
สองวันหลังอนุมัติ ก็เร่งรีบโอนเงินจำนวน 2,100 ล้านบาท ให้กับบริษัท
ภายหลัง บริษัทบิลเลี่ยนฯ นำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน เช็คของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และดราฟท์ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้คอร์เปอเรชั่น จำกัด อ้างมูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ มาให้ สกสค. ยึดถือไว้เพื่อเป็นประกัน แต่ข้อเท็จจริงพบว่า ราคาประเมินที่ดินแค่ 37 ล้านบาทเท่านั้น และเช็คก็ไม่สามารถขึ้นเงินได้จริง ส่วนดราฟท์ก็ตรวจสอบพบว่าเป็นของปลอม
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 (ขณะที่ตั๋วสัญญาใช้เงินงวดแรก ยังไม่มีธนาคารมาอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน) คณะกรรมการบริหารกองทุน ก็อนุมัติให้ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัท บิลเลี่ยนฯ เพิ่มอีก 400 ล้านบาท โดยที่ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 400 ล้านบาทนี้ ก็ไม่มีการอาวัล
ต่อมา บริษัทบิลเลี่ยนฯ อ้างทำใบหุ้นของสโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง 50 ล้านหุ้น หุ้นละ 1 ปอนด์ มาวางเป็นประกัน แต่ตรวจสอบพบว่า เป็นใบหุ้นปลอม
จากนั้น บริษัทบิลเลี่ยนฯ นำเงินสกุลโครเอเชีย 950,000,000 HRK อ้างว่านำมาวางเพื่อขอขยายระยะเวลา แต่ตรวจสอบพบว่า เป็นเงินสกุลโครเอเชียที่เลิกใช้ไปแล้ว
สุดท้าย กองทุนของครูก็ยังไม่ได้เงินคืน 2,100 ล้านบาท
5.คดีนี้ เพิ่งจะมาดำเนินการกันจริงจัง เป็นมรรคเป็นผล เอาในยุครัฐบาล คสช.
ทั้งๆ ที่ โกงกันตั้งแต่ปี 2556
หน่วยงานที่จะต้องรีบไปแจ้ง “วางบิล” ก็น่าจะเป็น สกสค. นั่นเอง
คุณครูทั่วประเทศ ควรต้องชื่นชมการเอาจริงกับการตรวจสอบทุจริต ติดตามเงินกองทุนของคุณครูกลับคืนมาให้ได้มากที่สุด หลังจากที่ถูกปล้นไปในยุคนักโกงเมือง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี