ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายการเงินการคลังที่ดีควรต้องสร้างดุลยภาพระหว่างความอยู่ดีกินดีของประชาชน การหารายได้เข้ารัฐ การคุ้มครองสุขภาพ และการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งบททดสอบที่สำคัญขณะนี้คงหนีไม่พ้นประเด็นภาษียาสูบ
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมุ่งหารายได้ด้วยการขึ้นภาษียาสูบมาติดๆ กันทุกปี ปี 2559 ขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบไปชนเพดาน 90% ของฐานภาษีเดิมในขณะนั้น ตามมาด้วยปี 2560 มีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่และเริ่มจัดเก็บภาษีเพื่อมหาดไทยจากบุหรี่อีก 10% ของภาษีสรรพสามิต และล่าสุด ปี 2561 เริ่มเก็บเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุในอัตรา 2% ของภาษีสรรพสามิต แม้จะทำให้รัฐกระเป๋าตุงขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม รายได้และปากท้องของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบกลับได้รับผลกระทบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะเดียวกันผู้สูบบุหรี่จำนวนไม่น้อยกลับหันไปบริโภคยาเส้นมวนเองที่เก็บภาษีน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่อันตรายไม่ต่างกัน และซื้อบุหรี่ผิดกฎหมายที่ราคาถูกมากกว่าโดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทั้งหมดนี้กำลังเป็นการทำลายดุลยภาพและความขลังของภาษียาสูบทั้งสิ้น
ตามกำหนดเดิมจะมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่เป็น 40% ของราคาขายปลีกแนะนำ ในวันที่ 1 ต.ค. 2562 ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลซ้ำเติมต่ออุตสาหกรรมบุหรี่ทั้งปลายน้ำ กลางน้ำ และต้นน้ำ เพราะราคาบุหรี่ส่วนใหญ่จะขึ้นราคาอีกอย่างน้อย 50% จาก 60 บาทเป็น 90 บาท แต่หลังจากที่ชาวไร่ยาสูบได้เดินสายร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ ก็มีข่าวแว่วมาว่ากระทรวงการคลังอาจชะลอการเก็บภาษี 40% ออกไปอีก 2 ปี แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเองก็รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและไม่ได้ทอดทิ้งชาวไร่ชาวนาเสียทีเดียว
ล่าสุดกระทรวงการคลังกำลังจะเก็บภาษีจากบุหรี่เพิ่มอีก เพื่อสมทบเข้ากองทุนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จากบุหรี่ในอัตราสิบสตางค์ต่อมวน หรือสองบาทต่อซอง ในทางปฏิบัติทำให้ต้องขึ้นราคาบุหรี่อีกราว 50%-58% จากซองละ 60 บาทเป็นซองละ 90-95 บาท ซึ่งมีผลเท่ากับการขึ้นภาษีสรรพสามิต 40% แม้จะมีเสียงคัดค้านมากมาย จากการทำประชาพิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.ฯ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา ผู้ยกร่างกลับไม่มีการแก้ไขปรับปรุงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับจะรวบรัดดำเนินการเสนอเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมายให้ได้เร็วที่สุด
นอกจากการยกร่าง พ.ร.บ.ฯ จะเพิ่มภาระให้แก่อุตสาหกรรมบุหรี่ที่ย่อมเดือดร้อนไปถึงชาวไร่ยาสูบแล้ว ยังมีการตั้งคำถามจากผู้รู้หลายท่านว่าร่าง พ.ร.บ.ฯ ขัดกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ที่รัฐบาลนี้เป็นคนผลักดันออกมาหรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ห้ามออกกฎหมายมาเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อใช้สำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ ขณะที่ร่างพ.ร.บ.ฯ กำหนดให้เรียกเก็บ “เงินสมทบ” จากยาสูบเพื่อสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยไม่ต้องส่งเข้าเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งแม้จะใช้คำว่า “เงินสมทบ” แต่โดยลักษณะการจัดเก็บแล้วก็คือ “ภาษี” นี่เองร่างพ.ร.บ.ฯ จึงถือเป็นการจงใจยกร่างกฎหมายเพื่อให้เกิดนวัตกรรมการใช้เงินนอกงบประมาณแบบใหม่ ซึ่งหากสามารถออกเป็นกฎหมายได้ ในอนาคตคงมีกองทุนหรือองค์กรรัฐอีกนับไม่ถ้วนที่มีความจำเป็นในการใช้เงินและต้องการเสนอให้มีการเก็บเงินสมทบในรูปแบบนี้อีกแน่นอน
กระทรวงการคลังและรัฐบาลควรต้องพิจารณาดูให้รอบด้าน หาจุดดุลยภาพระหว่างพันธกิจทั้งสี่ด้าน ยึดหลักธรรมาภิบาล ฟังเสียงประชาชน ซึ่งจะช่วยให้ปัญหาภาษียาสูบยุติลงได้ และเกษตรกรเดินหน้าหาเลี้ยงปากท้อง สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี