ขุดธุรกิจบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า กฎหมายควบคุมบุหรี่ในหลายประเทศก็ปรับตัวตามวิทยาศาสตร์และพฤติกรรมผู้บริโภค แต่สำหรับประเทศไทย การรณรงค์ในวันงดสูบบุหรี่โลกปีนี้ กลับสะท้อนความย้อนแย้งของนโยบายสาธารณสุขอย่างชัดเจนที่สุด ภายใต้แนวคิด “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคติน เสพติด จน ตาย”
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมาก รัฐบาลไทยยังคงเลือกใช้นโยบาย“แบนบุหรี่ไฟฟ้า” แบบเบ็ดเสร็จมาเป็นเวลาร่วม 10 ปี ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่สังคมปลอดภัยไร้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างที่คาดหวัง เพราะในทางปฏิบัติการแบนไม่ได้ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าหายไปจากสังคม หากแต่คือการผลักผู้บริโภคเข้าสู่เงามืดของตลาดผิดกฎหมายที่ปราศจากมาตรฐาน ไม่มีการควบคุมคุณภาพ และไร้การคุ้มครองผู้ใช้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเยาวชน คนจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานยังคงเข้าถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ผ่านช่องทางออนไลน์ ร้านลับ หรือแม้แต่จากต่างประเทศ
“แบน = ตลาดมืด = ไร้การควบคุม” ขณะที่รัฐบาลประกาศตัวว่า “ปกป้องเยาวชน” ผ่านการแบนบุหรี่ไฟฟ้า แต่ในความเป็นจริงเด็กและเยาวชนกลับตกเป็นเหยื่อของการไม่มีมาตรการเชิงรุกที่ชัดเจนในการควบคุมการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนเลย นอกเหนือจากการรอความหวังจากการปราบปรามของตำรวจทั้งๆ ที่ตำรวจมีภารกิจอื่นมากมาย แต่ทุกอย่างอยู่ในภาวะ “ใต้ดิน” ที่เจ้าหน้าที่รัฐเองยังควบคุมไม่ได้
ถ้ามีกฎหมายที่ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าได้ เราก็จะคุ้มครองเยาวชนและผู้บริโภคได้ และรัฐก็ได้ประโยชน์ ซึ่งประเทศไทยมีประสบการณ์ในการควบคุมบุหรี่มวนมาอย่างยาวนาน การห้ามโฆษณา การจัดเก็บภาษี การขึ้นราคาสม่ำเสมอ การให้ความรู้สาธารณะ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และสามารถนำมาปรับใช้กับบุหรี่ไฟฟ้าได้
ในทางตรงข้าม หากรัฐปลดแบนแล้วควบคุมให้ถูกกฎหมาย รัฐสามารถเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องเพื่อนำรายได้มาฟื้นฟูเศรษฐกิจ นำรายได้มาใช้ในการส่งเสริมสุขภาพและช่วยเหลือผู้ติดนิโคติน ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย สามารถจำกัดอายุผู้ซื้อผ่านระบบตรวจสอบอัตลักษณ์เยาวชนจะได้รับการคุ้มครองจากผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อล่อลวง เช่น กลิ่นผลไม้หรือดีไซน์คล้ายขนม ผู้ใหญ่ที่ต้องการเลิกบุหรี่มวนสามารถเข้าถึงทางเลือกที่อาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า
คำถามที่ประชาชนอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ “บุหรี่ไฟฟ้าดีหรือไม่” แต่คือ “จะปล่อยให้สถานการณ์ไร้การควบคุมแบบนี้ดำเนินไปอีกนานแค่ไหน?” เพราะในขณะที่หลายประเทศพัฒนาไปข้างหน้า รัฐบาลไทยกลับเลือกวิธีที่ง่ายแต่ไร้ประสิทธิภาพที่สุด
ภายใต้แคมเปญวันงดสูบบุหรี่โลก “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า” ของปีนี้ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ควรเริ่มกระชากหน้ากากของนโยบายล้มเหลวด้วยเช่นกัน เปิดเผยต่อสาธารณะว่า ยุทธศาสตร์นี้ ยังไม่เข้าเป้า การแบนไม่สามารถปกป้องเด็ก ไม่สามารถควบคุมตลาดและไม่สามารถสร้างสังคมที่ปลอดภัยได้จริง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศแต่กลับไม่ยอมรับทางเลือกเช่นเดียวกับ 80 กว่าประเทศทั่วโลก
ตัวอย่างการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าแทนการแบนของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก คือทางออกที่เป็นไปได้และยั่งยืนกว่า เช่น อังกฤษ นิวซีแลนด์ แคนาดา และหลายประเทศในสหภาพยุโรป ที่ “ควบคุม” บุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด มีการกำหนดอายุผู้ซื้อ จำกัดปริมาณนิโคติน กำกับรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ห้ามการตลาดที่จูงใจเยาวชน และที่สำคัญคือมีการเก็บภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการห้ามแบบตัดตอน
วันงดสูบบุหรี่โลกปีนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการตั้งคำถาม และหาคำตอบร่วมกันในสังคมเพื่อหันมาทางควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี