เอพี (AP) และหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ (The Phnom Penh Post) รายงานว่า โฆษกกองทัพกัมพูชาเปิดเผยว่า มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย หลังเกิดเหตุยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาชั่วครู่บริเวณพื้นที่ชายแดนที่ยังมีข้อพิพาทบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ซึ่งติดกับอำเภอจอมขสันต์ จังหวัดพระวิหาร ของกัมพูชา เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม 2568
พันโทเมา ผัลลา โฆษกกองทัพกัมพูชาระบุว่า เหตุการณ์เกิดขณะทหารกัมพูชากำลังลาดตระเวนตามปกติบริเวณแนวชายแดน ทหารไทยได้เปิดฉากยิงใส่ก่อน
ในขณะที่กองทัพไทยออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ทหารกัมพูชาล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายยังมีข้อพิพาทกันอยู่ และเมื่อทหารไทยเข้าไปเจรจากลับเกิดความเข้าใจผิด ทำให้ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน จึงต้องยิงโต้ตอบ
การปะทะเกิดขึ้นเวลา 05.45 น. กินเวลาประมาณ 10 นาที ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะสื่อสารกันและสั่งให้หยุดยิง พร้อมยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจา โดยกัมพูชาเปิดเผยว่ามีทหารเสียชีวิต 1 นาย และได้นำศพออกจากพื้นที่ชายแดนเพื่อเตรียมประกอบพิธีศพ ขณะที่กองทัพไทยระบุว่าฝ่ายไทยไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้
1) เฟซบุ๊ก thaiarmedforce.com อธิบายว่า ชนวนเหตุของการปะทะนั้น เกิดขึ้นจากการที่ทหารไทยตรวจพบว่า ทหารกัมพูชาทำการขุด “คูเรด หรือ คูเลต” บริเวณพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ ซึ่งถือเป็นการละเมิด MOU43 ที่ห้ามดัดแปลงพื้นที่ที่ยังตกลงกันไม่ได้ ทหารไทยเข้าไปตรวจดูแล้วเกิดการปะทะกัน
พึงทราบว่า “คูเรด หรือ คูเลต” เป็นการดัดแปลงภูมิประเทศเพื่อเป็นที่มั่นที่มั่นคงในการปฏิบัติการรบ ส่วนใหญ่จะขุดให้มีความลึกพอที่จะป้องกันกำลังพลจากอาวุธของฝ่ายที่เข้าตีได้ ส่วนความลึก ลักษณะการออกแบบ หรือแนวของคู ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม การที่ฝ่ายกัมพูชามาขุดคูในพื้นที่นี้ แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะยึดพื้นที่เอาไว้เพื่อจัดตั้งเป็นฐานปฏิบัติการ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเพื่อเตรียมปฏิบัติการทางทหารในอนาคต หรือเพื่อรับมือการสู้รบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างหรือดัดแปลงใดๆ ในพื้นที่ทับซ้อนเป็นการละเมิด MOU43 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน กองทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่จึงมีสิทธิ์ที่จะแจ้งให้ฝ่ายกัมพูชายุติการดำเนินการ
2) สมเด็จฯ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ครองตำแหน่งยาวนาน 32 ปี โพสต์เฟซบุ๊กว่า ก่อนอื่น ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและเห็นใจครอบครัวของจ่าสิบเอกซวน รวน ผู้ล่วงลับ ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกกองกำลังรุกรานโจมตี ในพรมแดนที่สงบสุข เป็นมิตร ให้ความร่วมมือ และพัฒนาแล้ว ไม่ควรประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ผมขอประณามบุคคล หน่วยงาน หรือชนชั้นใดๆ ที่ตัดสินใจก่อเหตุรุกรานในลักษณะที่คล้ายกับการรุกรานที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2551 ถึง 2554 ที่ปราสาทพระวิหาร
ผมไม่อยากเห็นการสู้รบเกิดขึ้น แต่ผมสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลในการส่งทหารและอาวุธหนักไปที่ชายแดนเพื่อเตรียมการตอบโต้ในกรณีที่มีการรุกรานอีกครั้ง ผมหวังว่าการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (29 พฤษภาคม) ระหว่างผู้บัญชาการทหารของทั้งสองประเทศจะประสบผลสำเร็จ ผมหวังว่าจะไม่มีความตึงเครียดข้ามชายแดนระหว่างสองประเทศถึงขั้นที่ความร่วมมือในพื้นที่อื่นถูกปิดกั้น เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ
ขอวิงวอนเพื่อนร่วมชาติ อย่าทำให้ความขัดแย้งนี้บานปลาย จนกลายเป็นเรื่องเหยียดเชื้อชาติ และโปรดเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศ เราเกลียดสงคราม แต่เรายืนกรานที่จะทำสงครามต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 2551 ถึง 2554 โดยใช้ลูกศร 3 ดอก คือ การทูต กฎหมาย และการทหาร
3) นายทักษิณ ชินวัตร บิดานายกรัฐมนตรีของไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความตรึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ว่าน่าจะเคลียร์กันจบแล้ว เพราะผู้ใหญ่ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีคุยกันรู้เรื่อง และทางทหารก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เรื่องดังกล่าวเป็นการกระทบกระทั่งกันในพื้นที่ของทหารชั้นผู้น้อย ซึ่งมีกติกาที่ว่าเขตแดนที่ไม่ชัดเจน ไม่มีการปักปัน ใครจะอ้างสิทธิอย่างไรก็ให้ถอยออกไปก่อน หรือเป็น No Man’s Land ไม่มีผู้ที่ครอบครองหรือใช้สิทธิ ซึ่งก็จะไม่เกิดเหตุกระทบกระทั่งกัน เพราะการปักปันแดนของแต่ละประเทศทั่วโลก บางครั้งต้องใช้เวลานานเป็นพันปี พูดคุยกันไม่จบ และบริเวณดังกล่าวก็ไม่มีอะไรเป็นพื้นที่ป่า
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา และประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาหรือไม่นั้น นายทักษิณกล่าวว่า 2 รัฐบาลมีการพูดคุยกันตลอด
ส่วนนายทักษิณมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนเป็นการส่วนตัวหรือไม่นั้น นายทักษิณระบุว่า ตนและสมเด็จฮุนเซนพูดคุยกันเป็นประจำ เพียงแต่ขอทุกฝ่ายอย่าไปเติมเชื้อไฟให้เกิดการกระทบกระทั่งบริเวณชายแดน หรือที่จะเกิดเหตุยิงกัน ขอให้กลายเป็นการเตะตะกร้อร่วมกัน
เมื่อถามว่าท่าทีสมเด็จฮุนเซนที่จะส่งกำลังมาเพิ่มบริเวณชายแดน จะทำให้เหตุการณ์รุนแรงขึ้นหรือไม่ นายทักษิณยืนยันว่าไม่มี ขณะนี้ถอนกำลังหมดแล้ว
ส่วนเงื่อนไขข้อตกลงระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชาที่ยังไม่ตรงกันนั้น นายทักษิณกล่าวว่าจะดีขึ้นบางครั้งก็คนละที แต่หลักการคือไม่มีการเพิ่มความตึงเครียด และจะต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย และพยายามสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ว่าทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ควรมีความขัดแย้งใดๆ
4) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงภายหลังมีกระแสข่าวไทยเตรียมปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวหลังจากมีการปลุกระดมต่อต้านสินค้าไทยว่า การปิดด่านเป็นส่วนหนึ่งของแผนสำหรับใช้ในการบริหารจัดการสถานการณ์ ที่อาจส่งผลกระทบความมั่นคงและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ของหน่วยงานในระดับพื้นที่ปัจจุบัน ซึ่ง ณ ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานแต่อย่างใด
ที่ผ่านมา การปิดด่านจะดำเนินการต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ โดยในอดีตจะดำเนินการเฉพาะต่อเมื่อสถานการณ์ในพื้นที่นั้นๆ มีปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในระดับที่น่ากังวลสูง โดยเฉพาะข่าวสารที่น่าเชื่อว่าจะมีการใช้อาวุธระยะไกล ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชน
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน หากพิจารณาในภาพรวมส่วนใหญ่มีความเรียบร้อย มีเพียงบางจุดบางพื้นที่เท่านั้นที่อาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความน่ากังวลมากนัก เนื่องจากทั้งสองฝ่ายได้อาศัยกลไกที่มีอยู่ในระดับพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ภายใต้กรอบข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้ยึดถือกันอยู่อย่างเคร่งครัด
5) วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ว่า กัมพูชา ภายใต้การนำของสมเด็จฮุนเซนและลูกชาย ยังคงใช้ลูกไม้เดิมๆ ในการ“ก่อกวน” เพื่อ “สร้างสถานการณ์ นำพาตัวเองไปเป็น “วีรบุรุษ”และเป็นข้ออ้างในการเสริมกำลังพลและอาวุธ เรียกได้ว่าสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง จนต้องสังเวยชีวิตทหารไป 1 นาย แล้วฉวยใช้สถานการณ์ความสุญเสียดังกล่าว “ปลุกเร้า” คนในชาติขึ้นมา เป็นวิธี “สร้างศัตรูร่วม” เพื่อ “รวมคนมาเป็นพวกตน” ซึ่งเป็นแนวทางประจำของ “ฮุนเซน”
หากเรามีประเทศเพื่อนบ้านที่ตรงไปตรงมา เรื่องนี้ก็จบลงง่ายๆ แค่เพียงว่า กัมพูชา “เริ่มก่อน” ในการ “ทำผิด”ตั้งแต่ขุดคูเรดในพื้นที่ที่ยังตกลงกันไม่ได้ เปิดฉากยิงก่อน และตายเอง ถอยเอง
แต่ปัญหาคือ เรามีเพื่อบ้านที่ “ป่าเถื่อน” และ “ด้อยพัฒนา” และเรามีรัฐมนตรีที่เป็น “ขี้ข้าของทักษิณ” ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับ “ฮุนเซน” จึงไม่มีการ “สวนกลับ” ด้วย “ความจริง” ที่ฝ่ายไทยไม่ผิด เรามี “นายกรัฐมนตรี” ที่ “ไม่รู้ห่าเหวอะไรเลย” และ “มีพ่อเป็นผู้ครอบงำ”สภาพการณ์จึงออกมาอย่างที่เป็นอยู่
6) คืนวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia” ของ จอมพลสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นบิดาของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน ได้เผยแพร่ข้อความแสดงความไม่พอใจต่อคนไทยบางกลุ่ม พร้อมชี้แจงกรณีความขัดแย้งบริเวณ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งกำลังเป็นประเด็นร้อนระหว่างไทย-กัมพูชา
ในโพสต์ดังกล่าว ฮุนเซน ระบุว่า ในเฟซบุ๊กของผม ถูกกลุ่มคนไทยหัวรุนแรงชาตินิยมสุดโต่ง เข้ามาด่าทอและกล่าวหาด้วยถ้อยคำหยาบคาย ซึ่งพวกเขาตั้งใจจะทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลและประชาชนของทั้งสองประเทศกัมพูชา-ไทย และต้องการยั่วยุให้เกิดการปะทะกันระหว่างกองทัพของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีชาวไทยบางกลุ่มที่เรียกร้องให้กัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดที่ทหารกัมพูชายืนอยู่
เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดทางประวัติศาสตร์ ผมขอชี้แจง 3 ประเด็นดังต่อไปนี้ :
1.พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต(บริเวณช่องบก) ดังกล่าวเป็นดินแดนของกัมพูชา และทหารกัมพูชาได้ประจำการอยู่ในพื้นที่นี้ตั้งแต่ก่อนข้อตกลงสันติภาพที่ปารีส ก่อนที่จะมีบันทึกความเข้าใจปี 2000 (MOU2543) ประมาณ 13 หรือ 14 ปี ซึ่ง UNTAC(องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา) อาจเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ และหากยังไม่ชัดเจน กัมพูชาและไทยสามารถตกลงกันนำข้อพิพาทนี้ พร้อมแนบแผนที่ทางการที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ (ไม่ใช่แผนที่ที่โจรวาดขึ้นเพื่อขโมยที่ดิน[หมายเหตุ-สำนวนแปลจากภาษากัมพูชา]) ไปยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เพื่อยุติเรื่องนี้ ด้วยวิธีการดับไฟให้หมดเชื้อไม่ใช่แค่นั่งคอยปิดควันไฟ เพื่อความสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนรุ่นอนาคต และไม่ให้เกิดเรื่องแบบขึ้นอีก
2.ภาพถ่ายหลายภาพที่ผมกับภริยา และผู้ร่วมงานได้เดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าวเมื่อกว่า 15 ปีก่อน ถือเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา ผมไม่มีทางใส่เครื่องแบบทหารเข้าไปถ่ายรูปในดินแดนของไทยหรือของลาวในบริเวณนั้นอย่างแน่นอน ที่จริงแล้วในตอนนั้น ผมได้ต้อนรับทหารลาวที่ศาลานี้ (ซึ่งถูกไฟไหม้ไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา)
3.กัมพูชาไม่สามารถถอนทหารออกจากดินแดนของตนเองตามข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยได้ การกระทำเช่นนี้เป็นกลยุทธ์ที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดกับผมต่อหน้าประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อปี 2554 ว่าให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทพระวิหารพร้อมกัน ผมตอบกลับไปว่า ผมไม่สามารถถอนทหารออกจากแผ่นดินของตัวเองได้ ตรงกันข้าม ฝ่ายของท่านต่างหากที่ต้องถอนทหารผู้รุกรานออกไปโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตเมื่อ 3 วันก่อนเป็นเพียงเหตุการณ์ซ้ำๆ ของแผนการยึดครองดินแดนจากกัมพูชาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขับเคลื่อนโดยผู้บังคับบัญชาทหารระดับล่างและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มหัวรุนแรงของไทย
ทั้งนี้ ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. วันที่ 31 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า ผู้ใช้งานจากประเทศไทยไม่สามารถเข้าชมหน้าเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุนเซน ได้แล้ว คาดว่าเพจได้ทำการบล็อก IP ผู้ใช้งานจากประเทศไทยไว้เรียบร้อย
สรุป : ไทยมีอะไรต้องเกรงกลัว “กัมพูชา” อย่างนั้นหรือ? ไม่มีอะไรที่เราต้องพึ่งพากัมพูชาเลย นอกจาก “ช่องทางธรรมชาติ” ที่ “น้องสาวทักษิณ-อาของนายกฯแพทองธาร” ใช้หลบหนี หรือเพราะด้วยเหตุนี้ กองทัพไทย กระทรวงกลาโหมของไทย กระทรวงการต่างประเทศของไทย จึงไม่อาจแสดงท่าทีขึงขังใดๆ ได้ กระทรวงการต่างประเทศไม่ขึงขังในการโต้แย้งข้อเท็จจริง เราต่างต้องกลายร่างเป็น “นกกระจอก” เพราะอยู่ใต้อำนาจตระกูล “ชินวัตร” ที่กำลังปกครองประเทศ และตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนเซน เขาต่างเป็นทองแผ่นเดียวกัน
เป็นไปได้ไหมว่า นี่เป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้ “ทักษิณ” มีบทบาท และ “กลบข่าว” อื่นๆ ที่กำลังถาโถมเข้าใส่ “พ่อลูก ชินวัตร” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี