บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นหนึ่งในหลายๆ หน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย ที่มีการนำระบบความโปร่งใสในงานก่อสร้างภาครัฐ (CoST- Construction
Sector Transparently Initiative) มาใช้เพื่อป้องกันการทุจริต โดยโครงการก่อสร้างที่ ทอท. นำมาเข้าร่วมระบบนี้ก็คือโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ในข่าวช่วงนี้
ระบบ CoST ที่พูดถึงนี้ คือ ระบบที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) พัฒนาขึ้นมาเป็นมาตรฐานสากลในการสนับสนุนและส่งเสริมให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโครงการก่อสร้างภาครัฐเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่างๆ ของโครงการ เช่น ความจำเป็น ขอบเขต ต้นทุน และกระบวนการก่อสร้างในขั้นต่างๆ ตั้งแต่ขั้นการเตรียมการ การจัดซื้อจัดจ้าง จนกระทั่งการก่อสร้างเลย เพื่อให้องค์กรภาคประชาสังคม สื่อสาธารณะ และประชาชนทั่วไปได้รับทราบและช่วยกันดูแลผลประโยชน์ด้วยการร่วมตรวจสอบความเหมาะสมและกระบวนการตัดสินใจการใช้เงินภาษีของประชาชนในการก่อสร้างของภาครัฐที่มีมูลค่ามหาศาลได้อย่างชัดเจนและกว้างขวาง
ที่บทความในตอนนี้ยกการใช้ระบบ CoST ของ ทอท. ขึ้นมาเจาะลึกนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะโครงการพัฒนาสนามบินสุวรรรณภูมิระยะ 2 กำลังเป็นที่จับตามองของสังคมในขณะนี้เท่านั้น แต่เป็นเพราะโครงการนี้ยังเป็นโครงการแรกที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำระบบ CoST มาใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนปัจจุบันขยายผลไปใช้กับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่อื่น ๆ อีกหลายโครงการภายใต้การกำกับดูแลของกรมบัญชีกลางและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จึงทำให้น่าสนใจติดตามและประเมินผลว่าหลังจากผ่านมากว่า 4 ปี ระบบนี้ได้สร้างความโปร่งใสขึ้นมามากน้อยแค่ไหนและสามารถป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิผลหรือไม่
ดังนั้น คำถามสำคัญคือ เกิดอะไรขึ้น ทำไมแม้มีระบบสนับสนุนให้เกิดความโปร่งใสในโครงการมากว่า 4 ปี แล้ว จึงเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันอย่างใหญ่หลวงระหว่างประชาชนกับ
ผู้บริหาร ทอท. ในกรณีโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารอาคารที่ 2 หลังใหม่ (Terminal 2) ขึ้นมาได้
เพื่อหาคำตอบนี้ ผมจึงได้ถือโอกาสลองใช้กระบวนการ Crowdsourcing ที่บทความนี้นำเสนอไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระดมความรู้และความเห็นจากเพื่อนๆ ผมใน facebook ต่อคำถามดังกล่าว โดยผมได้แนบเว็บไซต์ทางการของโครงการก่อสร้างนี้ ที่ ทอท. ชี้แจงว่าได้เปิดเผยข้อมูลตามระบบ CoST ไว้แล้วไปในคำถามด้วย จึงได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากหลายประการจากสถาปนิกและวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง ดังกลุ่มตัวอย่างต่อไปนี้ครับ
กลุ่มความเห็นว่าข้อมูลมีไม่ครบ เช่น ความเห็นหนึ่งบอกว่า “เปิดดูหัวข้อหลักๆใน website ผมหารายละเอียดของ Terminal 2 (ที่มีการเป็นห่วงกันอยู่) ยังไม่พบครับ อยู่ตรงไหน….”
ความเห็นในลักษณะนี้นำมาสู่ความสงสัยว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้นได้ อย่างความเห็นหนึ่งที่เขียนว่า “ส่อเค้าว่ามีเรื่องเงินใต้โต๊ะ” นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการไม่ทำให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสนั้น อาจจะทำให้สาธารณชน เกิดความสงสัยกังขาได้
บางความเห็นเป็นการให้ความรู้เพิ่มเติม เช่นความเห็นที่บอกว่า “ขอเรียนเพื่อทราบว่า การตกลงใช้กระบวนการ CoST ของทอท. นั้นเป็นกรอบ สำหรับงานก่อสร้างอาคาร Sat1 (อาคารจอดเครื่องบินหลังใหม่ตั้งอยู่กลางสนามบิน) และส่วนขยายMain Terminal (อาคารผู้โดยสารเดิม) เท่านั้นครับ สาเหตุที่หาTerminal2 (อาคารผู้โดยสารอาคารที่ 2 หลังใหม่) กัน ไม่พบนั้นเป็นเพราะTerminal2 ยังไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นโครงการที่ได้รับการอนุมัติจาก ครม.(คณะรัฐมนตรี) สถานภาพปัจจุบันคือแต่เป็นโครงการภายในทอท.เท่านั้น ทั้งสภาพัฒน์ และกระทรวงยังไม่เคยได้รับเรื่องจาก ทอท. อย่างเป็นทางการ งบประมาณที่เตรียมไว้เพื่อการออกแบบคืองบดำเนินการปกติประเภทงบกลาง ยังไม่ใช่งบโครงการ สรุปคือก็มันยังไม่มีตัวตนครับ”
ความเห็นนี้ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ความเข้าใจไม่ตรงกันนั้น อาจไม่ใช่เพราะเราไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อมูลจริง แต่เป็นเพราะ ทอท. ไม่เคยบอกเล่าต่อสาธารณะอย่างกว้างขวางในเรื่องที่ดำเนินการก่อสร้าง เทอร์มินัล 2 อาคารหลังใหม่ อันเป็นโครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 42,000 ล้านบาท
บางความเห็นสามารถชี้แจงรายละเอียดในเชิงลึกได้ เช่น ความเห็นหนึ่งว่า “ที่ผ่านมา ในปี 2554 ไออาต้า (IATA-International Air Transportation Association)ได้มีส่วนร่วมพิจารณาแผนงานของสุวรรณภูมิที่จะดำเนินการตามผังแม่บท สรุปตอนนั้นคือ ให้ขยายด้านข้างของอาคารผู้โดยสารหลังเดิมออกไป พร้อมกับสร้างอาคารผู้โดยสารรอง (Satellite Terminal) และ Runway ที่ 3 ซึ่งสองประการหลังนี้ ทอท. ปฏิบัติตามและดำเนินการไปแล้ว นอกจากประการแรก (ให้ขยายอาคารผู้โดยสารเดิม) ที่มีผู้ยื้อไว้ทั้งๆที่ออกแบบเสร็จแล้ว เพื่องุบงิบทำอาคารแปะขึ้นมาแทน…
วันการแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ผู้อำนวยการใหญ่ทอท. นำข้อความนี้มาพูดระหว่างการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนตามข้อความที่ล้อมกรอบ ว่า การสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 เป็นไปตามที่ ICAO และ IATA ได้ดำเนินการศึกษาไว้ในการจัดทำแผนแม่บท เมื่อปี 2554 สื่อก็พยักหน้าหงึกๆว่าน่าเชื่อถือยิ่งนัก แต่สื่อคิดไม่ทันหรอกครับว่า แผนแม่บทเมื่อปี 2554 นั้น IATAได้กำหนดให้ขยายด้านข้างของอาคารผู้โดยสารหลังเดิมออกไป ไม่ใช่เอาอาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่มาแปะไว้คู่กับอาคารเดิมอย่างที่ทอท.จะลงนามในสัญญาว่าจ้างออกแบบในตุลาคมนี้ตามถ้อยแถลง
ผู้บริหารระดับสูงหลายคนขององค์กรใหญ่ๆที่มีความยากและซับซ้อนในเชิงเทคนิคมักจะรู้จุดอ่อนของสังคมว่า ข้อมูลที่แถลงให้ประชาชนทราบผ่านสื่อคงไม่มีใครรู้เรื่อง ส่วนคนที่น่าจะรู้เรื่องก็ไม่มีเวลาจะฟัง จึงใส่เกียร์ว่างให้พวกเขาทำอะไรก็ได้ตามใจชอบเพราะเชื่อเครคิต ดังนั้นพวกเขาจึงพูดหน้าเฉยมากเวลาให้ข่าวหมกเม็ดเพื่อวัตถุประสงค์ลึกลับ โดยลืมนึกถึง Risk Factor อันหนึ่งซึ่งจะเกิดได้ไม่เกินหนึ่งในร้อยว่า จะมีคนบ้าฟังรู้เรื่องแล้วนำมาโวย”
ความเห็นต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เห็นว่า แม้ ทอท. จะมีเว็บไซต์เป็นทางการเพื่อเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างแล้ว นั่นคือ https://costaot.airportthai.co.th/index.php/th/ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นได้จริง เห็นได้จากความไม่เข้าใจและเข้าใจไม่ตรงกันอย่างมาก ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญและประชาชนทั่วไป ซึ่งถ้า ทอท. สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ครบถ้วนตามมาตรฐานสากลที่ระบบ CoST ได้ระบุได้ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว วันนี้ปัญหาก็คงจะมีน้อยกว่านี้มาก และก็คงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ามีระบบสากลให้การรับรอง น่าเสียดายจริงๆนะครับ
ในความจริง อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าโครงการพัฒนา สนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ของ ทอท. ไม่ใช่โครงการก่อสร้างเดียวที่มีการใช้ระบบ CoST สนับสนุนการสร้างความโปร่งใส แต่ปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างอีกหลายโครงการที่เข้าร่วมด้วย ซึ่งน่าจะเป็นความหวังที่ดีของชาติไทย แต่กลับกลายก็เป็นที่น่าเสียดายหลายโครงการใช้ระบบ CoST เป็นเพียงตราประทับให้ดูดีภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์จริงอย่างเต็มที่ เห็นได้จากตัวเลขจากรายงานวิจัยของ TDRI ที่ชี้ว่าโครงการก่อสร้างภาครัฐโดยเฉลี่ยเปิดเผยข้อมูลเพียง 24% ของจำนวนข้อมูลที่ควรเปิดเผยตามมาตรฐานสากลของ CoST ที่น่าหนักไปกว่านั้นคือ โครงการเหล่านี้เปิดเผยข้อมูลเพียงแค่ 27% ของข้อมูลที่ต้องเปิดเผยตามกฎหมาย และโครงการที่เปิดเผยข้อมูลน้อยที่สุดเปิดเผยเพียง 9% ของข้อมูลที่ต้องเปิดเผยตามกฎหมาย
ทั้งหมดนี้จึงแสดงให้เห็นว่าแม้เราจะมีกฎหมายที่ละเอียดรัดกุมหรือมาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อสร้างความโปร่งใสแล้ว แต่หากขาดประชาชนที่ต้องทำหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของชาติร่วมกันแล้ว ก็ไม่สามารถสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นจริงได้ ผมจึงขอเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านเริ่มต้นที่ตัวท่านเอง ร่วมเป็นพลเมืองตื่นรู้สู้โกง ช่วยกันติดตามดูข้อมูลที่ภาครัฐเปิดเผย และหากข้อมูลใดไม่เปิดเผยก็ร่วมกันกดดันให้เปิดเผย ผ่านช่องทางต่างๆ ที่ท่านทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลผ่าน facebook page ต้องแฉ หรือ ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ให้การสนับสนุนการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมอย่าง องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT หรือเรียกร้องให้ผู้ที่จะสมัครลงเลือกตั้งเป็นผู้แทนของท่านผลักดันต่อไปครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี