ได้รับข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ ว่าด้วยเรื่อง “กัญชา”
เป็นชุดข้อมูลที่ทำให้เห็นภาพแนวทางที่กำลังเดินไปสู่การปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์ในไทยอย่างชัดเจน
อธิบายความโดยส่วนพัฒนาและวิจัยกฎหมาย กองกฎหมาย สำนักงาน ป.ป.ส. แจกแจงเป็นข้อๆ แจ้งชัดในแต่ละประเด็น ทำให้เกิดความเข้าใจแนวทางที่ทางการกำลังมุ่งไป
ขออนุญาตเก็บความสรุปมาให้ฟังต่อ ดังนี้
1. อะไร คือ “ปลดล็อก” ?
ปัจจุบัน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 บัญญัติห้ามเสพกัญชา ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ได้แก่ กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น และเห็ดขี้ควาย) โดยเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าจะเสพเพื่อรักษาโรคหรือเพื่อการศึกษาวิจัยก็ตาม
บทบัญญัติห้ามเสพในลักษณะเช่นนี้ คือ การ “ล็อก”
ไม่ให้นักวิจัยนำไปศึกษาทดลองในมนุษย์
ไม่ให้แพทย์นำไปใช้รักษาโรคในมนุษย์
ดังนั้น แนวทางการปลดล็อกกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา คือ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้มนุษย์เสพกัญชาได้ เพื่อวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ (1) เสพเพื่อศึกษาวิจัย สร้างองค์ความรู้ใหม่ เช่น รักษาโรคชนิดหนึ่งชนิดใดได้หรือไม่ (2) เพื่อให้แพทย์นำไปใช้รักษาโรคได้
2. เปิดให้ปลูกเสรี-เสพเสรี ไม่ได้หรือ?
ตั้งแต่กฎหมายไทยห้ามไว้ ล็อกไว้กว่า 39 ปี นักวิจัยไทยไม่สามารถทดลองยาจากกัญชาในมนุษย์ได้เลย
ผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกัญชา จึงมีเฉพาะจากเอกสาร ห้องแล็บ และสัตว์ทดลองเท่านั้น
เมื่อในประเทศไทยเรายังไม่มีผลการวิจัยที่รับรองว่าใช้รักษาโรคใดๆ ได้จริง หากนำมาใช้กับคนไทยแล้วเกิดอันตราย ย่อมเกิดความเสียหายมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนจะปล่อยปละละเลยในเรื่องสุขภาพอนามัยของประชาชนไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยของต่างประเทศเกี่ยวกับผลกระทบจากการอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเสพกัญชาได้ เช่น ในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา จากการวิจัยพบว่ากัญชามีผลกระทบในแง่ลบถึง 9 ประเด็นเป็นอย่างน้อย ได้แก่ ทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิตมากขึ้น ทำให้ผู้เสพกัญชามีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เยาวชนเสพติดกัญชา พบว่าผู้ป่วยจากการเสพกัญชาต้องรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น การก่ออาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น และกัญชามีผลต่อสมองในระยะยาวและเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้สารเสพติดชนิดอื่นๆ
ดังนั้น กรอบการปลดล็อกให้ใช้กัญชาในประเทศไทย ควรยังอยู่ภายใต้กรอบการนำไปใช้เพื่อศึกษาวิจัยหรือเพื่อประโยชน์ในทางการเพทย์ ยังไม่ขยายไปถึงการอนุญาตให้ชาวบ้านปลูกหรือใช้กัญชา
อย่างไรก็ตาม ในอนาคต เมื่อมีผลการทดลองในมนุษย์ที่แน่นอนแล้ว และยาจากกัญชาขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแล้ว ต้องมีเพิ่มการผลิตกัญชาที่มีคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรมยา ชาวบ้านอาจเข้าโครงการร่วมกับรัฐปลูกกัญชาป้อนสู่ตลาดยา เพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวได้ ทั้งนี้ รัฐมีแผนการพัฒนากัญชาสู่อุตสาหกรรมยารองรับไว้แล้ว
3. จะปลดล็อกให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ได้กี่โรค?
กระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข ที่ 530/2561 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แบ่งคณะทำงานย่อยออกเป็น 4 คณะทำงาน ได้แก่ คณะทำงานด้านสายพันธุ์ คณะทำงานด้านการสกัด คณะทำงานด้านการใช้ทางการแพทย์ และคณะด้านทำงานการควบคุม เพื่อจะใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามหลักวิชาการและกฎหมาย ป้องกันมิให้มีการรั่วไหลไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ สอดคล้องกับบริบทของประเทศและแก้ไขปัญหาการสาธารณสุขได้อย่างเป็นรูปธรรม
คณะทำงานด้านการใช้ทางการแพทย์นี้เอง ที่ได้ตรวจสอบการวิจัยในประเทศไทยแล้ว พบว่า ผลการศึกษาเกี่ยวกับกัญชาที่ชัดเจนในสัตว์ทดลอง มีเฉพาะการรักษา 3 โรค ได้แก่ (1) ลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด (2) ลดอาการชักในกลุ่ม Dravet syndrome และ Lennox Gestaut syndrome คือ โรคลมชักในเด็ก (3) ลดอาการปวดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทอักเสบ
ขั้นต่อไป เมื่อปลดล็อกกฎหมายแล้ว คือ ทดสอบยากับผู้ป่วย ซึ่งเป็นอาสาสมัครในโครงการวิจัยใน 3 กลุ่มนี้ก่อน ถ้าได้ผลทดสอบสำเร็จ จึงจะอนุญาตให้แพทย์สั่งยากับผู้ป่วยใน 3 กลุ่มโรคนี้ได้
ส่วนโรคอื่นๆ ที่มีการวิจัยในต่างประเทศว่าใช้กัญชารักษาได้ เช่น โรคจิตเวช โรคอัลไซเมอร์ โรคนอนไม่หลับ โรคมะเร็ง เป็นต้น ต้องผ่านการวิจัยตามลำดับขั้นก่อน ได้แก่ เอกสาร ห้องแล็บ สัตว์ทดลอง และมนุษย์ จึงจะนำมาใช้ได้
เหตุที่ต้องมีการศึกษาวิจัยหรือทดลองก่อน เนื่องจากการนำยามารักษาผู้ป่วยได้มีหลักเกณฑ์ว่าต้องขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยา และการขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาต้องมีการศึกษาวิจัยตามลำดับขั้นดังกล่าวเป็นหลักเกณฑ์ที่เป็นสากลทั่วโลก
4. การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก จะใช้กัญชาได้หรือไม่
ก่อนมีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ใช้บังคับ พบหลักฐานว่าเคยมีการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์ทางเลือกหรือแพทย์แผนไทย ซึ่งมีกว่า 50 ตำรับยา แต่คณะทำงานด้านการใช้ทางการแพทย์ จากคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขข้างต้น ได้ข้อสรุปในการนำกัญชาในฐานะเป็นพืชสมุนไพรหรือแพทย์ทางเลือกว่า แม้จะเคยมีการใช้มาก่อน แต่เป็นระยะเวลายาวนานถึง 39 ปีมาแล้ว จึงต้องทำการศึกษาวิจัยก่อนโดยให้คัดเลือกตำรับยา 8 ตำรับยาเพื่อจะศึกษาวิจัยในมนุษย์ในกลุ่มโรค 4 กลุ่ม ดังนี้
(1) กลุ่มคลายเครียด : ตำรับยาศุขไสยาศน์
(2) กลุ่มมะเร็งโรคตับ : ตำรับยาแก้ฝีรวงผึ้งจากจารึกวัดโพธิ์ (เช้า), เบญจอำมฤตเข้ากัญชา (น้ำกระสาย คือ ดีเกลือ กาละเสมหะ ปิตตะ วาตะ) ทัพยาธิคุณ (กาลเสมหะ) และ ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ
(3) กลุ่มแก้ปวดเมื่อย/กันชัก : ตำรับทำลายพระสุเมรุ (ท้องมาน)
(4) กลุ่มกษัย (เบาหวาน) : ตำรับยาขาวแท่งทอง (จารึกวัดโพธิ์) ยาปถวีอาโปวาโย (จารึกวัดโพธิ์) และ ยาทัพยาธิคุณ
การวิจัยลำดับแรก เป็นกลุ่มโรคมะเร็งตับ โดยตำรับยากลุ่ม (2) ที่ใช้รักษามะเร็งตับ
5. ทางการให้ “ดอก-ใบของกัญชา” ยังเป็นยาเสพติดประเภท 5 เป็นการตัดตอนแพทย์แผนไทยหรือไม่?
สารสำคัญที่พบในกัญชา มีมากกว่า 500 ชนิด
แต่สารสำคัญในกัญชาที่นำมาทำเป็นยา ที่พบเป็นสารหลักสำคัญในกลุ่ม cannabinoids และมีผลต่อจิตประสาทมี 2 ชนิด คือ delta-9-tetrahydrocannabinol (THC) และ cannabidiol (CBD)
โดยตัวรับการทำงานของสารกลุ่มนี้ในร่างกาย เรียกว่า cannabinoid receptors (CB) ที่แบ่งเป็น CB1 และ CB2 ซึ่ง CB1 พบการแสดงออกส่วนใหญ่ในประสาทส่วนกลาง และมีผลให้ THC ออกฤทธิ์ส่วนใหญ่ในประสาทส่วนกลาง สำหรับ CB2 พบในส่วนอื่นๆ และพบมากที่เซลล์เม็ดเลือดขาวและสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกัน
ผลการศึกษาต่างๆ พบว่า THC ส่งผลเฉียบพลันให้ร่างกายผ่อนคลายและมีความรู้สึกสนุก แต่มีอาการข้างเคียงต่อจิตประสาท กระวนกระวาย ซึมเศร้า มีความพร่องในความจำและการเรียนรู้ ตลอดจนการทำงานของระบบเคลื่อนไหวและการพูดและการใช้ศัพท์ มีผลต่อการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
ดังนั้น การมองพืชสมุนไพรต้องมอง 2 ด้าน ทั้งด้านสรรพคุณและโทษ และต้องรักษาสมดุลของทั้งสองด้าน
หากปล่อยปละละเลยโดยไม่จำกัด ปราศจากการศึกษาวิจัย ย่อมเกิดผลกระทบต่อผู้ป่วยผู้ใช้ยาในด้านความปลอดภัย การขับเคลื่อนของรัฐในการปลดล็อกกัญชาควรจะเป็นไปตามขั้นตอน เป็นการนับหนึ่งที่แข็งแรงเพื่อจะได้มีก้าวต่อๆ ไปอย่างมั่นคง
6. ข้อมูลข้างต้น คือ สาระสำคัญจากคำอธิบายชี้แจงของสำนักงาน ป.ป.ส. หน่วยงานที่จะมีบทบาทสำคัญในการปลดล็อกกัญชาครั้งประวัติศาสตร์นี้
ส่วนว่า ใครจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย
จะพอใจ หรือไม่พึงพอใจ ในประเด็นไหน อย่างไร ก็เป็นความเห็นที่คิดต่าง
เสนอแนะเพิ่มเติมกันได้ หลังจากนี้
ขอให้เราเห็นแนวทางข้างหน้าชัดเจน แล้วเอาผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมเป็นที่ตั้ง โดยไม่สุดโต่งจนเกินไป ไม่มองว่ากัญชาไร้พิษ-ไร้ผลกระทบเลย ไม่จำกัดการใช้จนเกินไป โดยคำนึงภูมิปัญญาแผนไทยให้มาก เราก็คงจะหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไปได้ไม่ยาก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี