นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มักอ้างตัวว่าเป็นเสมือน “เซลส์แมน” ทำการค้าขายให้กับประเทศ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ย่อมไม่ใช่เรื่องดี เป็นประโยชน์
แต่ถ้าเป็นเซลส์แมนประเภทขี้คุยคำโต ขี้โม้เกินจริง นั่นมีแต่จะทำให้ประเทศชาติเสียโอกาส ขายฝันหลอกชาวบ้านไปเรื่อยๆ
ถามว่า กี่เรื่องแล้ว ที่คุยโม้ แต่เอาเข้าจริงเหลวเป๋ว
ยกตัวอย่าง งานสงกรานต์ที่รัฐบาลโม้ว่าจะจัดงานเล่นน้ำสงกรานต์ 21 วันตลอดทั้งเดือนเมษายน
ชวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเล่นน้ำสงกรานต์ได้เลยตลอดทั้งเดือนเมษายน
สุดท้าย ก็เริ่มเล่นน้ำกันได้จริงๆ 12-13 เมษายน แล้วไปจนถึงวันไหลตามปกตินั่นเอง
เพียงแต่มีการเอาเงินภาษีไปจ้างเอกชนด้วยวิธีการรวบรัดเร่งด่วน เพื่อจัดอีเว้นท์ที่สนามหลวงเพิ่มเติมมาจากปีก่อนๆ เท่านั้นเอง
หรืออย่างลงพื้นที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี นายกฯ เศรษฐาประกาศตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 10 ปี ประเทศไทยจะขายทุเรียนได้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน เป็น 1 ล้านล้านบาท !!!
จากปัจจุบัน ปีละ 1.2 แสนล้านบาท
คือ เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าตัว!!!
คำถาม คือ มันอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมากแค่ไหน? หรือคิดไวปากไว พูดขายฝัน เอาให้ฮือฮาไปเท่านั้น?
1. นายกฯ เศรษฐา ยังทวีตข้อความประกาศด้วยว่า
“ทุเรียน เป็น 1 ในพืชเศรษฐกิจ และเป็นของโปรดผมด้วยครับ
มาสวนทุเรียนวันนี้ผมมาดูทั้งการขาย การขนส่ง และเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในไทย และต่างประเทศให้มากกว่านี้ รวมถึงทำให้ราคาดีขึ้นด้วยครับ
ผมตั้งเป้าว่า ภายใน 10 ปี จะต้องขายทุเรียนได้เพิ่มขึ้น จากปีละ 120,000 ล้านบาท เป็น 1 ล้านล้านบาทต่อปี
โดยพี่น้องชาวสวนจะต้องขายได้ในราคาที่เป็นธรรมด้วย
ผมฝากกระทรวงเกษตรฯ เข้ามาดูแลเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำให้มีน้ำใช้เพียงพอ และเพิ่มศักยภาพในการเพาะปลูก เช่น จัดหาปุ๋ย และเครื่องมือในการปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นการลดต้นทุน ในระยะสั้นพี่น้องเกษตรกรต้องการให้เพิ่มเที่ยวเรือ และสะพานเพื่อการขนส่ง ซึ่งเราต้องพัฒนาสาธารณูปโภคในเกาะตั้งแต่ ถนน ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตควบคู่กันไปด้วย
นอกจากทุเรียนแล้ว มังคุด สมุย ยังทำรายได้มากที่สุดในประเทศไทย เพราะส่งออกต่างประเทศทั้งหมดรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการส่งออกผลไม้มาก เราสามารถทำ Fruit Pairingจับคู่ทุเรียนกับมังคุด ขายพ่วง King and Queen of Fruits พร้อมโปรโมทให้ชาวต่างชาติสนใจและซื้อให้มากขึ้นครับ”
2. ในความเป็นจริง ทุเรียนเป็นสินค้าที่มีอนาคตอยู่แล้ว
ทุเรียนเป็นผลไม้มีมูลค่าสูง โดยต้องใช้พื้นที่และเวลาในการปลูก แตกต่างจากสินค้าอุตสาหกรรม หรือบ้านจัดสรร ที่ประกอบได้ทุกฤดูกาล
ที่สำคัญ ทุเรียนไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ แต่เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง ในอีกนับร้อยนับพันชนิดที่มนุษย์แต่ละส่วนของโลกมีความนิยมแตกต่างกันออกไป
จะปลูกทุเรียน ก็ต้องมั่นใจว่ามีตลาดรองรับเพียงพอ เพราะทุเรียนเป็นผลไม้ที่เน่าเสียได้ง่าย การขนส่งต้องไปถึงผู้บริโภคปลายทางอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน มีการปลูกในเกือบทุกภาค ในหลายจังหวัด หลายสายพันธุ์
มีพื้นที่การปลูกรวมกัน 1 ล้านไร่กว่าๆ ให้ผลผลิตได้ราว 1.5 ล้านตัน
ทำรายได้ปี 2566 สูงถึงราว 1.5 แสนล้านบาท
โดยตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย คือ ประเทศจีน
ไทยส่งทุเรียนไปจีนกว่า 95%
ขณะนี้ ทุเรียนจากเวียดนาม มาเลเซีย หรือแม้แต่จีนที่ไปส่งเสริมการปลูกอยู่ที่มณฑลไห่หนาน ก็กำลังกดดันแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากไทย
3. ข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า
ในปี 2566 ทุเรียนสด ถือเป็นผลไม้ที่มีสัดส่วนการส่งออกไปจีนสูงสุด
ปี 2567 ส่งออกทุเรียนไทยไปจีน คาดเติบโต 12%YoY
เติบโตชะลอลง จากฐานที่สูงในปีก่อน (ที่เคยขยายตัว 30% YoY ในปีก่อนหน้า)
โดยปี 2567 การส่งออกทุเรียนสดไทยไปจีนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,500 ล้านดอลลาร์ฯ
เป็นผลจากปริมาณและราคาที่เติบโตชะลอลงจากปีก่อนหน้า
“มองไปข้างหน้า แม้ไทยยังครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ไว้ได้
แต่ทุเรียนประเทศคู่แข่งก็มีส่วนแบ่งในตลาดจีนมากขึ้น
ดังนั้น การรักษาคุณภาพของทุเรียนไทย จึงยังเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบ” - บทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย
4. เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวเวียดนาม (VNA) รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมคุ้มครองพันธุ์พืช กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม
ระบุว่า ทุเรียนเวียดนาม คว้าส่วนแบ่ง 31.8% ในตลาดจีน
เป็นรองแค่ทุเรียนไทย ที่ครองส่วนแบ่ง 68%
กรมคุ้มครองพันธุ์พืชของเวียดนาม ระบุว่า หากเวียดนามดำเนินการผลิตอย่างมืออาชีพ รวมทั้งปรับปรุงเทคนิคและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ก็อาจแซงหน้าไทย และครองตลาดทุเรียนจีนได้
แม้จะแน่ใจได้ว่า เรื่องนี้เป็นคำคุยโม้ของทางเวียดนาม แต่ไทยก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เวียดนามมีพื้นที่ปลูกทุเรียนรวมทั้งสิ้น 112,000 เฮกตาร์ และมีผลผลิต 863,000 ตันต่อปี ส่งออกไปยังจีนเป็นหลัก โดยมีปริมาณ 595,000 ตัน ในปี 2566
ทุเรียนเวียดนามส่งออกไปจีนเกือบทั้งหมด (คิดเป็น 98.6% ของยอดส่งออกทุเรียนเวียดนามทั้งหมด)
5. ดร.รัชดา ธนาดิเรก อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์เรื่องทุเรียน 1 ล้านล้านบาท ระบุว่า
“แน่นอนว่า การบริหารอย่างมีเป้าหมายของนายกฯ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่เป้าหมายขายทุเรียนอันอลังการ ที่หวังสร้างคะแนนนิยมในกลุ่มชาวสวนทุเรียนนั้น ฟังแล้วรู้สึกถึงความเป็นไปได้เสียมากกว่า
นายกฯตั้งเป้าภายใน 10 ปี ขายทุเรียนให้ได้ 1 ล้านล้านบาท จากตอนนี้อยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท
แปลว่า จะเพิ่มให้ได้อีกเกือบสิบเท่า !!
นายกฯ บอกจะเน้นขายของพรีเมียม
คำถามแรก คือ แล้วราคาทุเรียนมันต้องสูงเป็นเท่าไรถึงจะทำยอดได้ 1 ล้านล้านบาท (ทุเรียนนะไม่ใช่ทอง)
เกษตรกรไทยสามารถตั้งราคาขายแพงเท่าไรก็ได้เหรอ ขณะที่เวียดนามมาแรงเหลือเกิน ครองส่วนแบ่งตลาดในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก อยู่ที่ 31.8% ส่วนของไทยอยู่ที่ 68%
คำถามต่อมา ประเทศไทยจะเอาผลผลิตจากไหน พื้นที่ปลูกต้องเพิ่มอีกกี่เท่า?
เมื่อความเป็นจริง ปี 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 1.05 ล้านไร่ ผลผลิต 1.54 ล้านตัน
แล้วจะหาที่อีกสิบเท่า
คิดง่ายๆ คือ 10 ล้านไร่! จากไหน?
หากจะให้ลดปลูกพืชชนิดอื่น แล้วมาทุ่มปลูกทุเรียน ผลผลิตล้นตลาดแน่ ราคาตกแน่นอน
อีกประการหนึ่ง กว่าทุเรียนจะเริ่มให้ผลผลิตหลังปลูกก็ประมาณ 4-5 ปีไปแล้ว
ด้วยประการทั้งปวงที่หยิบยกมา ทำให้เห็นว่าเป้าหมายภายใน 10 ปี ขายทุเรียนให้ได้ 1 ล้านล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้เลย (แล้วจะพูดทำไมหละหนอ)
เช่นเดียวกับนายกฯค่ะ อยากให้เราขายทุเรียนได้เยอะๆ แต่เป้าหมายการบริหารงานต้องไม่เพ้อเจ้อ จะได้ไม่ชี้นำผิดทาง”
6. แน่นอนว่า ทิศทางการเพิ่มมูลค่าการขายทุเรียนไทย เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลจะต้องทำ
สิ่งที่ต้องทำ หลักๆ ก็มี 2 ทาง คือ
1) เพิ่มปริมาณทุเรียนที่ส่งออก ก็ต้องขยายตลาด เพิ่มจำนวนทุเรียนส่งออก เพิ่มพื้นที่ปลูกทุเรียนในประเทศ ฯลฯ
และ 2) เพิ่มราคาทุเรียนต่อผล ต่อกิโลกรัม ก็จะต้องทำการตลาด เพิ่มมูลค่าทางการตลาด พัฒนาสายพันธุ์ ฯลฯ
ปัจจุบัน การส่งออกทุเรียนไทย ไม่ใช่แค่ส่งออกไปเป็นตู้ๆ แต่เป็นการขายเป็นรายลูก โดยมีการนำระบบการตรวจสอบข้อมูลของทุเรียนรายลูก ด้วยรหัสล่องหน (invisible QR) มาใช้ เพื่อตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคชาวจีนที่ซื้อผลไม้ไทยมั่นใจว่าทุเรียนที่ส่งไปขาย มาจากประเทศไทยจริง ป้องกันการสวมสิทธิ์ แอบอ้างสินค้าเกษตร ที่ไม่มีคุณภาพจากประเทศอื่น
รวมไปถึงการทำแบรนด์ทุเรียน เพิ่มมูลค่าทางการตลาด
สิ่งที่รัฐบาลต้องทำเป็นเบื้องต้น คือ สร้างและรักษามาตรฐานทุเรียนไทย ให้ได้รับความน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภคทั่วโลก
ยกตัวอย่าง ต้องป้องกันไม่ให้มีการตัดทุเรียนอ่อนมาขาย วางระบบมาตรฐานโรงคัดบรรจุทุเรียน มาตรฐานน้ำหนักเนื้อทุเรียนแต่ละชนิด
เจรจาลดอุปสรรคการส่งออกทุเรียนที่เอกชนไทยเจออยู่ ทั้งการขนส่ง ระยะทาง ระยะเวลา ต้นทุน
ปลดข้อติดขัดมาตรการศุลกากรของจีน ให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อผลผลิตจากประเทศไทยจะได้มีแต้มต่อมากที่สุด
ที่เหลือ ก็ส่งเสริมสนับสนุนเอกชน ชาวสวนทุเรียน การพัฒนาวิจัย แปรรูป ผลิตภัณฑ์ การเสริมสร้างภาพลักษณ์ทางการตลาด
รวมทั้งขับเคลื่อนสร้างกระแส ขยายรสนิยม เพื่อให้มีคนบริโภคทุเรียนในโลกมากขึ้นไปเรื่อยๆ
แบบนี้ จึงจะเพิ่มยอดดีมานด์ของทุเรียนในตลาดโลก ทั้งในเมืองจีน และทั่วโลก
ถึงจะเพิ่มยอดรายได้จากการขายทุเรียนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนจะแตะ 1 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี หรือไม่ความยากจะอยู่ที่การขยายตลาดมากกว่า
ไม่ใช่หวังแค่จะให้คนกินทุเรียนราคาแพงขึ้น
นั่นคือ ต้องทำให้มีคนกินทุเรียนปริมาณมากขึ้น ทำให้ทุเรียนเข้าถึงชาวโลกมากขึ้น โดยทุเรียนมีหลากหลายราคา
โดยไทยต้องครองตลาดทุเรียนพรีเมียม และตลาดทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดให้ได้
และถ้าจะทำ ต้องเริ่มทำตั้งแต่เมื่อวาน เพราะทุเรียน 5 ปีออกผล ทุเรียนที่ปลูกเพิ่มวันนี้ ต้องมีแผนการตลาดรองรับที่ชัดเจนในอีก 5 ปีข้างหน้า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี