แพทองธาร ชินวัตร หมดความชอบธรรมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว อันที่จริงก็ต้องบอกว่าตั้งแต่ แพทองธารขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะเธอไม่มีคุณสมบัติใดเหมาะสมกับตำแหน่งแม้แต่น้อย
มีคำถามว่าหากไม่มีคลิปเสียงสนทนา (ที่หลายคน เรียกว่าคลิปขายชาติไทย) ระหว่างแพทองธารกับฮุนเซน แห่งกัมพูชา ที่ฮุนเซนจงใจปล่อยออกมาเมื่อวันพุธที่ 18 มิถุนายน 2568 แพทองธารยังจะหลงเหลือความชอบธรรมในการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ตอบเช่นเดิมว่า ไม่มีและไม่เหลือความชอบธรรมอีกต่อไปแล้ว
ต้องไม่ลืมว่าหลังจากแพทองธารเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ 18 สิงหาคม 2567 จวบจนบัดนี้ คนไทยก็ยังไม่ได้เห็นว่าแพทองธารมีผลงานการเมืองเชิงบวก ที่สร้างสรรค์ประโยชน์สุขให้กับประชาชนไทยแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้าม กลับพบว่าแพทองธารคืออุปสรรคของการพัฒนาประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังพบว่าแพทองธารคือผู้ทำลายล้างความน่าเชื่อถือ และเกียรติภูมิของประเทศไทย
มันอาจไม่ใช่ความผิดโดยตรงของแพทองธารที่ไม่สามารถบริหารประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองได้ เนื่องจากแพทองธารไม่มีประสบการณ์ในการบริหารราชการแม้แต่น้อย แต่ที่หนักกว่าคือไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ แต่ทว่าแพทองธารก็ยังไม่ขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว ดังนั้น เธอจึงไม่มีปัญญาบริหารราชการแผ่นดิน ไม่มีปัญญาทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง
ถ้าตอบว่ามันไม่ใช่ความผิดโดยตรงของแพทองธาร ก็ต้องถามต่อไปว่า แล้วเป็นความผิดของใคร ก็ตอบได้ว่าเป็นความผิดของสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎร (สส.) กลุ่มที่ยกมือสนับสนุนให้แพทองธารได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บางคนอาจจะโยนความผิดให้ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทย ผู้เป็นพ่อของแพทองธาร แต่ก็ต้องย้ำว่าทักษิณยังไม่ผิดมหันต์เท่ากับเหล่า สส. ที่ยกมือสนับสนุนแพทองธารให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้น สส. กลุ่มดังกล่าวจึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องนี้ได้
ถามว่าหากไม่มีคลิปเสียงสนทนาระหว่างแพทองธารกับฮุนเซนหลุดออกมา คนไทยจะยังเชื่อมั่นว่าแพทองธารมีความสามารถบริหารประเทศได้หรือ ตอบว่าไม่เลย และต้องย้ำเหมือนเดิมว่า เพราะแพทองธารไม่มีความสามารถบริหารราชการแผ่นดินแม้แต่น้อย
ความผิดพลาดครั้งสำคัญของแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย ปรากฏชัดแจ้งเมื่อมีคลิปเสียงพูดคุยระหว่างแพทองธารกับฮุนเซนที่ถูกเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข้อความที่ปรากฎในคลิปเสียงมันบ่งบอกชัดเจนว่าแพทองธารมีพฤติกรรมขายชาติ และเป็นภัยความมั่นคงของประเทศไทย
แพทองธารพูดกับฮุนเซนในฐานะที่ตัวของเธอคือนายกรัฐมนตรีไทย แล้วเธอก็ต้องรู้ดีว่าฮุนเซนเป็นผู้กุมอำนาจรัฐตัวจริงของรัฐบาลกัมพูชา การบอกฮุนเซนว่าแม่ทัพภาคสองของไทยต้องการทำเท่ ด้วยการประกาศปิดด่าน แล้วยังบอกด้วยว่าแพทองธารกับฮุนเซนเป็นพวกเดียวกัน แต่ทหารไทยเป็นคนละพวกกับเรา(เราที่แพทองธารกล่าวหมายถึงแพทองธารกับฮุนเซน หรือสามารถหมายถึงรัฐบาลไทยภายใต้การนำของแพทองธารกับรัฐบาลกัมพูชาภายใต้คำบงการของฮุนเซน)
ต้องย้ำยืนยันว่าการที่แพทองธารบอกกับฮุนเซนว่าเขาเป็นพวกเดียวกันฮุนเซนมันคือการประกาศว่ารัฐบาลไทยเป็นพวกของฮุนเซน แต่มันน่าสมเพชมากตรงที่แพทองธารต้องรู้ดีว่าฮุนเซนคือตัวการทำให้เกิดความปั่นป่วนที่บริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะที่บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต รวมถึงบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทตาเมือนธมตาเมือนโต๊ด ตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต
คนที่เข้าใจสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในจุดที่เกิดเหตุทหารกัมพูชายิงเข้าใส่ทหารไทยก่อน จนนำไปสู่การยิงปะทะกันระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย แล้วเรื่องก็ลุกลามบานปลายกลายเป็นกัมพูชาส่งเรื่องฟ้องต่อศาลโลก โดยขอให้ศาลโลกพิจารณาตัดสินว่าปราสาททั้งสาม และที่ดินสามเหลี่ยมมรกตเป็นของกัมพูชา ถามว่ากัมพูชาเล่นเกมนี้เพราะอะไร ทั้งๆ ที่ผู้นำตัวจริงของรัฐบาลกัมพูชาต้องรู้ดีว่าไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลโลกอีกต่อไป หลังจากไทยถูกศาลโลกพิพากษายกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชา เมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505
แต่ก็น่าประหลาดที่เมื่อ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาก็ยื่นขอให้ศาลโลก (ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ)ตีความคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ถุนายน 2505 ในคดีประสาทพระวิหารอีกครั้ง โดยอ้างธรรมนูญศาลโลกข้อ 60 แล้วกัมพูชายังยื่นคำร้องเร่งด่วนขอให้ศาลโลกออกมาตรการคุ้รองชั่วคราวตามธรรมนูญศาลโลก ข้อ 41
ที่ร้องต่อศาลเพื่อบังคับให้ไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากส่วนที่เป็นดินแดนของกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข และห้ามไทยดำเนินกิจกรรมทางทหารทุกชนิดในพื้นที่ที่กัมพูชาเรียกร้อง และขอให้ศาลบังคับให้ไทยงดเว้นการดำเนินการใดๆ
ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิของฝ่ายกัมพูชา หรือการกระทำที่อาจเพิ่มความขัดแย้ง ซึ่งในครั้งนั้นไทยร้องขอให้ศาลโลกจำหน่ายคดีที่กัมพูชายื่นร้องต่อศาลออกจากสารบบความของศาลโลก แต่ต่อมา 18 กรกฎาคม 2554 ศาลโลกมีคำสั่งยกคำร้องขอของฝ่ายไทยแล้วกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone หรือ PDZ) ตามที่ศาลโลกกำหนด และระบุให้ไทยไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระของกัมพูชาไปยังปราสาทพระวิหาร และให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินความร่วมมือต่อกันตามกรอบของอาเซียน และต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์เข้าไปในบริเวณ PDZ ได้ รวมถึงกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆที่อาจทำให้เกิดข้อพิพาทมากขึ้น แล้วต่อมาเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2556 ศาลโลกได้อ่านคำพิพากษากรณีการขอตีความดังระบุแล้วข้างต้น
เหตุที่ต้องยกเอาเรื่องคำร้องของกัมพูชาต่อศาลโลกมาอธิบายให้เห็นในที่นี้ ก็เพื่อต้องการย้ำให้คนไทยทราบว่าเรื่องราวก่อนที่ศาลโลกจะพิจารณายกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชานั้นมีความเป็นมาอย่างไร แล้วจบลงอย่างไร แต่นั่นคือบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องจดจำไว้
แล้วต้องไม่ปล่อยให้เกิดความเลวร้ายดังกล่าวขึ้นอีก
แม้แพทองธารจะไม่มีปัญญารู้เรื่องสำคัญนี้ แต่ก็ต้องย้ำว่าหน่วยงานสำคัญของไทย อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กลาโหม และมหาดไทย ก็จำเป็นต้องรับรู้เรื่องราวนี้เป็นอย่างดี แล้วที่สำคัญคือต้องไม่ปล่อยให้เกิดความเสียหายเช่นที่เคยเกิดเมื่อปี 2505 ขึ้นมาอีก
แต่วันนี้ พ.ศ. นี้ แพทองธารยังคงกระทำเสมือนจะนำพาประเทศไทยเข้าไปสู่วังวนของปัญหาเดิมอีก โดยเฉพาะปัญหาพรมแดนไทย-กัมพูชา และคนไทยยังจับได้ว่าแพทองธารมีท่าทีโอนอ่อนให้กับฝ่ายกัมพูชามาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่ฮุนเซนเปิดคลิปสนทนาระหว่างฮุนเซนกับแพทองธารออกมา จึงทำให้คนไทยทั้งประเทศมั่นใจยิ่งขึ้นว่าแพทองธารมีพฤติกรรมจงใจขายชาติให้กัมพูชา เพราะฉะนั้น คนไทยจึงไม่หลงเหลือ ความไว้วางใจให้กับแพทองธารอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้จะจงใจสร้างผิดพลาดจนเกือบพาชาติไปสู่ความหายนะบรรลัย แต่วันนี้แพทองธารก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ในขณะที่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังคงเกาะเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลแพทองธารต่อไป เพราะฉะนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่จะถูกคนไทยครหาและประณามว่าอยู่เพื่อล้างผลาญและทำลายขายชาติต่อไป นับเป็นความบัดซบและความอัปยศอย่างที่สุดของรัฐบาลที่อยู่ในตำแหน่งเพื่อ
ขายชาติขายแผ่นดิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี