กองเชียร์ทักษิณลุ้นเหนื่อย...
การไต่สวนปมบังคับโทษตามคำพิพากษาจำคุกทักษิณ ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่เพราะทักษิณไปอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ เริ่มแล้ว ส่อทิศทางน่ากังวล ?
แถมช่วงนี้ ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีการวางกำลังทหารเข้มงวดตามชายแดน เส้นทางธรรมชาติมีอุปสรรคมากขึ้นอีก
1. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เริ่มต้นกระบวนการไต่สวนการบังคับคดีลงโทษจำคุก นายทักษิณ ชินวัตร
ก่อนหน้านี้ ศาลได้ยกคำร้อง นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ขอให้ศาลฯดำเนินการไต่สวนฯและออกหมายจับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาขังไว้ตามหมายศาลฯ เนื่องจากนายทักษิณไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษา และถูกส่งตัวไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ
ศาลวินิจฉัยว่า นายชาญชัยไม่ใช่คู่ความในคดีหมายเลขแดง อม.4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 และคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ อีกทั้งไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อน ไม่มีส่วนได้เสียในคดี จึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาล แต่ศาลฯ เห็นว่า อาจมีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร
2. ในส่วนของคำชี้แจงต่อศาล ทางอัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงต่อศาลแล้ว
แต่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจง ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2568
นายทักษิณ ชินวัตร จำเลย ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2568
3. ในวันนัดหมาย 13 มิถุนายน 2568 ปรากฏว่า ตัวแทนสำนักงาน ป.ป.ช. ในฐานะโจทก์ ได้เดินทางมาถึงศาลฯ ตามเวลานัดหมาย นำแฟ้มเอกสารกว่า 2 ลังมายื่นต่อศาลฯ เพื่อประกอบการชี้แจงในคดี
ส่วนนายทักษิณ ไม่ได้ดำเนินทางมาด้วยตนเอง มอบหมายให้ทนายความส่วนตัวมาแทน
ในวันดังกล่าว ศาลฯ ได้ไต่สวนนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แล้วเสร็จ
4. สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ประเด็นที่ศาลให้ความสนใจไต่สวนนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ประเด็นการส่งตัวนายทักษิณ (ขณะยังเป็นผู้ต้องขัง) ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ผ่านการส่งตัวไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (รพ.ราชทัณฑ์)
ภายหลังการไต่สวนนัดแรกเสร็จสิ้น ศาลได้แจ้งนัดไต่สวนในเดือน ก.ค. 2568 ทั้งหมด 6 นัด ได้แก่ วันที่ 4 8 15 18 25 และ 30 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
โดยในวันที่ 4 นัดไต่สวน พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ฯลฯ
และวันที่ 15 นัดไต่สวนนายวัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ฯลฯ
6. น่าสนใจว่า... กรณีพญ.รวมทิพย์นั้น แพทยสภามีมติลงโทษว่ากล่าวตักเตือน ระบุว่า เป็นแพทย์ผู้ทําหน้าที่ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับในเรือนจํา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 มีการบันทึกผลเวชระเบียน ตรวจสอบเอกสารประวัติการรักษาของคนไข้ที่มีอยู่ก่อน โดยได้ประเมินและมีความเห็นว่ากรณีผู้ต้องขังทักษิณควรติดตามการรักษาและต้องพบแพทย์เฉพาะทาง หลายสาขา ซึ่งเป็นสาขาเฉพาะทางที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มี จึงได้เขียนใบส่งตัวให้ผู้ป่วยไปรับการตรวจรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าในลักษณะผู้ป่วยนอก (OPD) โดยมีการให้คําปรึกษาทางโทรศัพท์กับพยาบาลเวรในช่วงเวลาดึกของวันเดียวกันเกี่ยวกับอาการป่วยของผู้ต้องขัง และได้อนุญาตให้ใช้ใบส่งตัวที่เขียนไว้ดังกล่าวเพื่อเป็นเอกสารประกอบการพิจารณาของผู้บัญชาการเรือนจําในการนําตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา และได้มีการนําตัวผู้ต้องขังคนดังกล่าวไปรักษาตัวนอกเรือนจําในเวลาต่อมา
คณะกรรมการแพทยสภา เห็นว่า ไม่ดําเนินการตามมาตรฐานการรักษาในกรณีดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน ผู้ถูกร้องควรให้ผู้มีหน้าที่ตรวจประเมินผู้ป่วยบันทึกข้อมูลความรุนแรงของโรคในภาวะวิกฤตและเป็นผู้ลงความเห็นในแบบฟอร์มดังกล่าวเองว่าสมควรรีบส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาต่อนอกเรือนจํา
ยิ่งกว่านั้น กรณีแพทย์โรงพยาบาลตำรวจรับนายทักษิณไว้รักษาตัว และกรณีออกใบความเห็นแพทย์ที่นำไปใช้อ้างอิงให้ทักษิณอยู่ รพ.ตำรวจต่อ โดยไม่ส่งตัวกลับเรือนจำ ก็ล้วนถูกแพทยสภาตรวจสอบ และมีมติลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว (แพทย์อาจฟ้องคดีต่อสู้ในชั้นศาลปกครองต่อไป)
อาทิ ลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของพลตำรวจโทนายแพทย์ ท. เป็นเวลาหกเดือน กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
โดยในส่วนของความเห็นแพทย์ในใบแสดงความเห็นแพทย์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 ระบุว่า “การรักษายังไม่สิ้นสุด เพราะต้องรักษาแผลที่ ผ่าตัด ตรวจและวางแผนผ่าตัดโรคที่รายงาน จึงจําเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาล” และในใบแสดงความเห็นแพทย์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ระบุว่า “ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน เพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขน อ่อนแรง”
การแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าว คณะกรรมการแพทยสภาลงมติวินิจฉัยว่า เป็นการลงความเห็นที่ไม่ถูกต้อง และเห็นควรลงโทษพักใช้ใบอนุญาต 6 เดือน
โดยเฉพาะใบแสดงความเห็นแพทย์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 ที่มีการระบุความเห็นว่า “จําเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล” นั้น เห็นว่า ผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องรักษาตัวต่อเนื่องในโรงพยาบาล โดยรับฟังจากข้อมูลของกลุ่มอาการและโรคของผู้ป่วย ได้แก่
กลุ่มอาการและโรคทางอายุศาสตร์ – เห็นว่า โรคและอาการ ทั้งหมดเป็นโรคเรื้อรัง ไม่ต้องพักรักษาในโรงพยาบาล ประกอบกับเวชระเบียนของพยาบาล (nurses notes) กับส่วนของบันทึกติดตามอาการของแพทย์ (progress note) 15 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกร้องเขียนใบแสดงความเห็นแพทย์ ไม่พบการบันทึกภาวะหรือโรคใดๆ ทางอายุรศาสตร์ที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล กลุ่มอาการและโรคทางประสาทศัลยศาสตร์ เห็นว่าผู้ถูกร้องไม่ได้ทําการผ่าตัด แต่ให้ใส่ปลอกคอประคับประคองไว้เท่านั้น แพทย์เจ้าของไข้ให้ถ้อยคํา ว่าปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังไม่ใช่เรื่องภาวะฉุกเฉิน
กลุ่มอาการและโรคทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ - รับฟังว่า แพทย์ผู้ผ่าตัดอาการนิ้วล็อกให้ถ้อยคําว่า การอยู่ในโรงพยาบาลของผู้ป่วยไม่ใช่ปัญหาของด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ บันทึกติดตามอาการของแพทย์ในวันที่ 15 กันยายน 2566 (ห้าวันหลังจากวันผ่าตัดและเป็นวันเดียวกันกับวันที่เขียนใบให้ความเห็นแพทย์) ก็ไม่พบภาวะแทรกซ้อนใดๆ ทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ เปรียบเทียบกับผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้ต้องขังซึ่งมารับบริการในโรงพยาบาลตํารวจแบบผู้ป่วยใน ซึ่งได้รับการรักษาบริเวณนิ้วคล้ายกับผู้ป่วยก็พักรักษาในโรงพยาบาลตํารวจเพียงสองวัน ประกอบกับการให้ความเห็นของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยว่า โดยปกติการผ่าตัดนิ้วล็อกไม่ต้องนอนโรงพยาบาลและไม่ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วน
ในส่วนใบแสดงความเห็นแพทย์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ที่มีการระบุความเห็นแพทย์ไว้ว่า “ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน เพราะมี อาการปวดรุนแรงมือและแขนอ่อนแรง” แพทยสภาวินิจฉัยว่า เป็นการลงความเห็นที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน
โดยพิจารณาจาก ความเห็นของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยที่ระบุว่า จากข้อมูลที่ได้มาไม่มีประวัติอาการ ปวดไหล่ขวามาก่อน ต่อมาได้ข้อมูลจากการวินิจฉัยเอ็นหัวไหล่ข้างขวาฉีกขาดจากการตรวจร่างกายและผล ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น rotator cuff tear ซึ่งหากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเฉียบพลันทางออร์โธปิดิกส์จะจัดว่าไม่ใช่ภาวะเร่งด่วน ซึ่งหากเป็นไปได้ควรทําการผ่าตัดโดยเร็ว แต่ไม่ควรทิ้งไว้เกิน 3 - 6 สัปดาห์ และหากพิจารณารักษาโดยการผ่าตัดจําเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัด
แพทยสภามีความเห็นโดยสรุปว่า การออกใบแสดงความเห็นแพทย์ของผู้ถูกร้องทั้งสองใบ ถือว่ามีข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับความเป็นจริง รวมทั้งผู้ถูกร้องเป็นประสาทศัลยแพทย์ ไม่ใช่ผู้มีความรู้ความชํานาญทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ ซึ่งเป็นโรคที่ได้รับการผ่าตัดในผู้ป่วยรายนี้ จึงไม่ควรลงความเห็นแทนแพทย์ ศัลยกรรมกระดูกและข้อ โดยควรให้แพทย์เจ้าของไข้หรือแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นผู้ลงความเห็น
ประการสำคัญ ผู้ถูกร้องย่อมทราบว่าความเห็นแพทย์ทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นความเห็นแพทย์ที่จะถูกนําไปใช้ประกอบการขอความเห็นชอบสําหรับกรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวนอกเรือนจํานานเกินกว่า 30 วัน และ 60 วันตามลําดับ ผู้ถูกร้องควรระบุความเห็นให้ชัดเจนว่าผู้ป่วยควรพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาเท่าใด และเหตุผลที่ชัดเจนในการต้องพักรักษาตัว เป็นการให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรง กับความเป็นจริง มีพิรุธ ทําให้ผู้ป่วยที่เป็นนักโทษสามารถพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนอกเรือนจํานานเกินกว่าที่ควรจําเป็น อาจทําให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์โดยมิชอบ เป็นการเลือกปฏิบัติ ส่งผลกระทบต่อสังคมและความเชื่อมั่นต่อวงการแพทย์อย่างชัดเจน
7. เมื่อเริ่มต้น ปรากฏทิศทางการไต่สวน ค้นหาความจริง ว่าการส่งตัวทักษิณออกไปนอกเรือนจำ มีข้อเท็จจริงอย่างไร ถูกต้องหรือฝ่าฝืนกับกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร
ขณะที่มติแพทยสภา ได้รับการยืนยันด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น กว่า 90% ของกรรมการแพทยสภาที่ลงมติในที่ประชุม ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการมาอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยไม่กลับเข้าเรือนจำของทักษิณ
ด้วยเหตุนี้ อาการของ สทร. จึงส่อว่า อาการหนัก น่าเป็นห่วง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี