ผมอ่านรายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 212 เดือนพฤษภาคม 2567 เรื่อง “การลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพด้วยการเพิ่มการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล ด้านสุขภาพ” ด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ข้อมูลต่างๆ นี้มีประโยชน์จึงขอนำข้อมูลบางส่วนมาประกอบการเขียนบทความการพัฒนาระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะทางต่างจังหวัด ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ
“ในปี พ.ศ.2564 มีประชาชนคนไทยที่ยากจน 4.4 ล้านคน หรือ 6.3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งมีปัญหาในการเข้าถึงระบบสาธารณสุข เช่น ขาดผู้พาไป รพ. ระยะเวลาในการรอคิว การเดินทางที่ไม่สะดวก และอยู่ห่างไกล ขาดแคลนค่าเดินทาง ขาดการตรวจรักษาเมื่อจำเป็น รวมทั้งกลุ่มผู้ยากจนนี้ เจ็บป่วย เป็นโรคเรื้อรัง หรือมีโรคประจำตัวมากกว่ากลุ่มที่มีรายได้อื่น
ส่วนผู้พิการมี 4.2 ล้านคน ในปี 2565 ส่วนใหญ่มีความบกพร่องทางสายตา การเคลื่อนไหว การได้ยิน 4% ของผู้พิการยังไม่สามารถเข้าถึงการตรวจรักษาเมื่อป่วยหรือจำเป็น 9% ไม่ได้เข้ารับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพเมื่อจำเป็น เพราะขาดผู้พาไป ระยะทางขาดแคลนค่าเดินทาง รวมทั้ง 17% หรือ 6.9 แสนคนต้องใช้เครื่องช่วย แต่ไม่ได้รับ
ส่วนผู้อยู่ห่างไกลส่วนใหญ่อยู่ตามชายแดน โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันตก เพราะพื้นที่เป็นภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ความเหลื่อมล้ำส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ การกระจุกตัวของแพทย์ โดยเฉพาะแพทย์เฉพาะทาง”
ผมโชคดีมากที่ ในชีวิตการเรียน การทำงาน ได้มีโอกาสรับเกียรติเป็นแพทย์ อาจารย์แพทย์ ในตำแหน่งต่างๆ ตั้งแต่นายกสมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหาร ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เลขาธิการแพทยสภา 2546-2550 สมาชิกวุฒิสภา 2551-2554 ฯลฯ และที่ยังได้อยู่ในคณะกรรมาธิการสาธารณสุขวุฒิสภา ตั้งแต่ 2551-2567 ในตำแหน่งต่างๆ นี้ ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมแพทย์ โรงพยาบาล เกือบทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทยแล้ว รวมทั้ง รพ.สต. (รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล) เป็นร้อยๆ แห่ง ในฐานะอนุกรรมาธิการทางด้านการถ่ายโอน รพ.สต. อนุกรรมาธิการสุขภาพถ้วนหน้า อนุกรรมาธิการสาธารณสุขปฐมภูมิ อนุกรรมาธิการผู้สูงอายุ อนุกรรมาธิการสร้างเสริมสุขภาวะ ป้องกัน ก่อนรักษา ฯลฯ
ผมจึงพอทราบจุดเด่น จุดอ่อน ข้อดี ข้อเสีย หรืออาจจะพูดให้ดีกว่าว่า ระบบสาธารณสุขของไทยดีมากๆ แล้ว แต่ยังมีบางอย่างที่จะต้องพัฒนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ระบบสาธารณสุขของเราก็เป็นที่ชื่นชมขององค์การอนามัยโลก และของชาวโลก เราควรภูมิใจและพอใจในระดับหนึ่ง แต่เราต้องพยายามพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
และในฐานะที่เคยเป็นเลขาธิการแพทยสภา 4 ปี (2546-2550) เป็นผู้ที่รู้ มีข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์มาก รวมทั้งอาจเป็นคนแรกจากแพทยสภา (จากคำพูดของแพทย์ในจังหวัดต่างๆ ที่ผมไปเยี่ยม) ที่เริ่มออกไปเยี่ยมแพทย์ โรงพยาบาล เกือบทุกจังหวัด จนกระทั่งบัดนี้ติดเป็นนิสัย เวลาไปทำงานในต่างจังหวัดให้สภากาชาดไทย หรือแม้แต่ไปเที่ยวถ้ามีเวลาว่าง จะขออนุญาต รพ.ต่างๆ ไปเยี่ยม พูดคุย บรรยาย ถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจมี เช่น ขาดแพทย์สาขาใด เครื่องมือ รวมทั้งแนะ career path ให้แพทย์ใช้ทุน ซึ่งมักมีประมาณ 10-12 คนใน รพ.ทั่วไป รวมทั้งพยายามช่วยฝากการเรียนต่อของน้องๆ เหล่านี้ให้กับสถาบันการแพทย์ต่างๆ ถึงแม้อาจไม่รู้จักแพทย์เหล่านี้มาก่อนหน้านี้
อยากเรียนให้ทราบว่า แพทย์ในประเทศไทยแบ่งออกเป็นผู้ชำนาญการทางสาขา อนุสาขาต่างๆ เช่น สาขาใหญ่ๆ สูติ ศัลย์ อายุรศาสตร์ เด็ก ฯลฯ รวมแล้วประมาณ 95 สาขา และอนุสาขา โดย ณ 31 ธันวาคม 2567 มีแพทย์ทั้งหมดที่มีชีวิต 74,727 คนที่ขึ้นทะเบียนกับแพทยสภา มีที่ติดต่อได้ 72,523 คน อยู่ใน กทม. 34,715 คน ต่างจังหวัด 37,808 คน มีอายุเกิน 60 ปี 5,616 คนและมากกว่า 70 ปี 4,489 คน
จากการคำนวณตัวเลขคร่าวๆ จะเห็นว่ามีแพทย์ 1 คนต่อประชากร 158 คนในกรุงเทพฯ (รวมแพทย์ทุกวัย) และแพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,598 คนในต่างจังหวัด (แพทย์ทุกวัย) และส่วนใหญ่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ
จากการที่ผมไปเยี่ยม รพ.มาทั่วประเทศ พบว่าทุกรพ.ขาดแพทย์ ไม่มากก็น้อย บางสาขามากกว่าสาขาอื่น ขาดเครื่องมืออุปกรณ์ การเข้าถึงแหล่งความรู้ เช่น ห้องสมุด online ที่ทันสมัยการทำงานหนัก (ทุกอาชีพ วิชาชีพ) รพ.ชุมชนยังต้องพึ่งแพทย์ใช้ทุน (คือแพทย์จบใหม่ 3 ปีแรก) ปี 2,3 ซึ่งยังเป็นแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์มากนัก การขาดแพทย์ บุคลากรอื่นๆ การเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์น้อย ขาดพี่เลี้ยง อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการมีปัญหากับผู้มาใช้บริการ
ในความเห็นของผม อยากให้ทุก รพ.จังหวัดที่เป็น รพ.ศูนย์ หรือ รพ.ทั่วไป สามารถช่วยตัวเองได้เกือบจะทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ใหญ่ๆ จริงๆ เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ฯลฯ อยากให้สามารถวินิจฉัย รักษาโรคทั่วๆ ไปได้ ควรมีเครื่อง CT, MRI (คงมีอยู่แล้ว) ฯลฯ โดยเฉพาะ รพ.ที่อยู่ไกลปืนเที่ยง เช่น รพ.แม่ฮ่องสอน ต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ เครื่องมืออย่างเพียงพอ เพราะการเดินทางไปมา เชียงใหม่เพื่อทำ CT ซึ่งเดิมไม่มี CT แต่ปัจจุบันนี้มีแล้ว ทางรถจะใช้เวลาประมาณ 6 ชม. เฉพาะขาไปหรือกลับ รพ.อะไรก็ตามที่อยู่ห่างไกล ต้อง self sufficient ช่วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งจะเป็นการสกัดกั้นการจำเป็นของผู้ป่วยที่จะต้องเดินทางไปรักษายัง รพ.ที่ไกลออกไปด้วย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี