ยังคงต้องรอกันต่อไปสำหรับผู้ประกอบการ “หาบเร่แผงลอย”จากท่าทีของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชเมื่อ 13 พ.ย. 2561 ที่ผ่านมาเพราะ “ในมุมหนึ่งก็เข้าใจความเดือดร้อนของคนหาเช้ากินค่ำ” หลังได้รับรายงานว่าสถานที่ที่จัดให้ย้ายไปขายนั้นขายไม่ดีอย่างที่เดิม “แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องเห็นใจผู้ใช้ทางเท้า” ด้วยว่าหากปล่อยให้ขายจะกระทบต่อการสัญจรไป - มา ดังนี้..
“ถนนบางสายจำเป็นต้องสะอาดเรียบร้อย เพราะกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาและประชุมหารือกันต่อไป แต่ที่สำคัญถ้ากฎหมายผ่อนผันอนุญาตให้ทำได้ เราก็มีมาตรการผ่อนผันที่ทำให้ ซึ่งก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่ต้องดูแล เพราะหากเจ้าหน้าที่ไม่ดูแลและมีคนไปร้องเรียน ก็จะโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อีก” (เคลียร์ชัด “หาบเร่แผงลอย”! “บิ๊กป๊อก” ย้ำจำเป็นต้องจัดระเบียบทางเท้าเมืองกรุง : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ หมวด “ในประเทศ - กทม.” 13 พ.ย. 2561)
คำถามคือ “หาบเร่แผงลอยเป็นเรื่องข้อกฎหมายจริงหรือ?” เพราะหากดูตามข้อเท็จจริง “กฎหมายมีช่องให้ทำได้อยู่แล้ว และที่ผ่านมาจำนวนมากก็เป็นไปตามกรอบนั้น” ซึ่งกฎหมายสำคัญที่ทำให้เกิด “จุดผ่อนผัน”อนุญาตให้จำหน่ายสินค้าแบบหาบเร่แผงลอยขึ้นมาได้นั่นคือ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 โดยเนื้อหา
ใน มาตรา 20 ระบุว่า..
“มาตรา 20 ห้ามมิให้ผู้ใด (1) ปรุงอาหาร ขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนน หรือในสถานสาธารณะ (2) ใช้รถยนต์หรือล้อเลื่อนเป็นที่ปรุงอาหารเพื่อขายหรือจำหน่ายให้แก่ประชาชนบนถนนหรือในสถานสาธารณะ (3) ขายหรือจำหน่ายสินค้าซึ่งบรรทุกบนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือล้อเลื่อน บนถนนหรือในสถานสาธารณะ
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่การปรุงอาหารหรือการขายสินค้าตาม (1) หรือ (2) ในถนนส่วนบุคคลหรือในบริเวณที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศผ่อนผันให้กระทำได้ในระหว่างวัน เวลาที่กำหนด ด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร”
จะเห็นได้ชัดว่า “แม้กฎหมายขึ้นต้นด้วยการห้าม แต่กฎหมายก็เปิดช่องอนุญาตไว้ โดยพื้นที่ที่จะเปิดเป็นจุดผ่อนผันได้นั้น จะต้องเป็นความเห็นชอบร่วมกันระหว่างพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่กับเจ้าพนักงานจราจร” ซึ่งเมื่อไปดูใน มาตรา 4 ว่าด้วยบทนิยาม ระบุว่าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ก็คือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) คือผู้ว่าราชการ กทม. หรือปลัด กทม. ส่วนเจ้าพนักงานจราจรแม้ไม่ได้ระบุไว้ใน พ.ร.บ. นี้ แต่ก็ชัดเจนว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานตำรวจที่รับผิดชอบท้องที่นั้นๆ
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันโดย วิฑูรย์ ศรีแก้ว ตัวแทนจากสำนักเทศกิจ กทม. ที่ไปเปิดเผยในวงเสวนา “จัดระเบียบแผงลอย..ถอยกันคนละก้าว” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนก.ค. 2561 ว่าทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) อันเป็นหน่วยงานตำรวจที่ดูแลความสงบเรียบร้อยรวมถึงการจราจรใน กทม.มีหนังสือแจ้งมายัง กทม. ให้ยกเลิกจุดผ่อนผันที่ กทม. กับ บช.น. เคยร่วมกันอนุมัติให้ตั้งได้
นั่นทำให้ กทม. ต้องทยอยยกเลิกจุดผ่อนผันในเขตต่างๆ ตั้งแต่เมื่อ 1 พ.ค. 2558 เป็นต้นมา และคุณวิฑูรย์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับ “นโยบายจัดระเบียบสังคมโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” หรือก็คือรัฐบาลจากส่วนกลางที่บริหารประเทศในขณะนี้ ซึ่งนอกจากหาบเร่แผงลอยแล้ว คสช. ยังทำอีกหลายอย่าง เช่น วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถตู้โดยสาร ดังนั้นผู้ค้าจึงไม่สามารถกลับไปขายของที่เดิมได้
12 พ.ย. 2561 หรือ 1 วันก่อนหน้าการให้สัมภาษณ์ของ รมว.มหาดไทยข้างต้น ฟากกลุ่มผู้ค้าแผงลอยที่ตัดสินใจรวมตัวกันในนาม “เครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เดินทางไปที่กระทรวงมหาดไทย ทวงถามกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 222 /2561 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการจัดระเบียบสังคม ลงวันที่ 10 ก.ย. 2561
แต่เมื่อนับจากวันที่มีคำสั่ง ผ่านมาแล้ว 2 เดือนกลับไม่มีความคืบหน้า โดยประธานเครือข่าย เรวัตร ชอบธรรม กล่าวว่านี่คือ “ช่วงเวลาอันทุกข์ทรมาน” เพราะผู้ค้าใช้ชีวิตแบบมีรายได้วันต่อวัน หลังถูกห้ามขายผู้ค้าหลายคนต้องกู้เงินนอกระบบมาใช้จ่าย และบางคนต้องขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนใช้จ่ายในครัวเรือน และประกาศว่าจะกลับมาใหม่ในอีก 7 วันให้หลังหากยังไม่คืบหน้าอีก ดังนี้..
“เราขอเรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทย ออกหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่ออนุญาตให้ผู้ค้าที่ถูกยกเลิกในจุดผ่อนผันบริเวณถนนสายหลัก และสายรองที่กำลังจะถูกยกเลิก สามารถกลับมาขายได้เหมือนเดิม เพื่อเป็นการบรรเทา และเยียวยาความเดือดร้อน และขอให้เร่งดำเนินการจัดประชุมคณะกรรมการ ตามที่นายกฯแต่งตั้งให้เร็วที่สุด เพราะขณะนี้กลุ่มผู้ค้าได้รับความเดือดร้อน เป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก” (7 วัน! หาบเร่แผงลอยกทม.ทุกข์หนัก บุก “มท.” ร้องหนี้ท่วมขอคืนพื้นที่ค้าขาย : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ หมวด“ในประเทศ - กทม.” 12 พ.ย. 2561)
แม้จะมีปัญหากีดขวางทางเท้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ของการค้าหาบเร่แผงลอยนั้นมีประโยชน์กับทั้ง “ผู้ขาย” ที่นักวิชาการ รศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยศึกษาพบว่า “ผู้ค้ากว่าครึ่งมีการศึกษาน้อย” ร้อยละ 4 ไม่ได้เรียนหนังสือ ร้อยละ 43 เรียนจบชั้นประถมศึกษา และร้อยละ 18 เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ฉะนั้นจะไปทำอาชีพอื่นๆ อาจเป็นเรื่องยากลำบาก
และกับ “ผู้ซื้อ” ที่บทความ “หาบเร่แผงลอย : วิถีชีวิตที่รัฐมองข้าม” ซึ่งเผยแพร่โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ - TDRI) ระบุว่า มีงานวิจัยที่พบผู้ใช้บริการร้านค้าแผงลอยกว่าร้อยละ 60 คือผู้มีรายได้ต่ำกว่า 9,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ในบทความเดียวกันยังกล่าวถึงประโยชน์อื่นๆ เช่น “ทำให้พื้นที่ไม่เปลี่ยว” เช่น ซอยรางน้ำที่เป็นซอยลึกแต่มีผู้คนสัญจรพลุกพล่านตลอดเวลา
ซึ่งข้อหลังนี้เริ่มมีเสียงสะท้อนจาก “ผู้ใช้บริการรถเมล์ในยามดึกหลัง 4 ทุ่มไปแล้ว” ในหลายจุดจำนวนรถเมล์ลดลงหลังตลาดกลางคืนที่เคยมีอยู่ถูกยกเลิกไป เช่น สนามหลวง-คลองหลอด หรือสะพานพุทธ-ปากคลองตลาด หลายคนมองว่าเป็นเพราะรถที่เคยวิ่งเป็นรถเอกชนร่วมบริการ ดังนั้นเมื่อไม่มีตลาดก็ไม่มีผู้โดยสารมากพอจะออกมาวิ่งให้คุ้มกับค่าใช้จ่าย รวมถึง “ห่วงโซ่ในวงจร” เช่น ผู้ขับรถแท็กซี่-สามล้อเครื่องที่เคยรับ-ส่ง และช่วยผู้ค้าตั้งร้าน หรือตลาดสดอันเป็นแหล่งวัตถุดิบของผู้ค้าประเภทอาหาร ต่างพูดตรงกันว่ารายได้ลดลง
การ “กวาดล้าง” จึงอาจเป็นสาเหตุของเสียงครวญ “เศรษฐกิจฐานรากกำลังจะตาย” ที่ดังระงมไปทั่ว ดังนั้นนโยบายที่ดีควรเน้นไปที่ “สมดุล” ให้ทุกฝ่ายทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบแผงลอยสามารถอยู่ร่วมกันได้จะดีกว่า!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี