ขณะนี้ ยังไม่มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ แต่บรรยากาศการเมืองคึกคักมาก

กล่าวหากันไปหา เริ่มสาดโคลนกันแล้ว

ในยามเลือกตั้ง สังคมจะต้องตั้งสติ ใช้ดุลพินิจในการรับข้อมูลข่าวสารมากกว่าปกติ เพราะพฤติกรรมการใช้ข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวปั้นแต่งข้อมูล เผยแพร่ข่าวแล้วหาต้นตอไม่เจอ ฯลฯ แต่เผยแพร่ข่าวเพื่อหวังผลสร้างกระแสลบแก่คู่แข่ง หรือกระแสบวกแก่ตนเอง ล้วนแต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในต่างประเทศ ยุคโซเชียลมีเดียครองเมือง

ยุคนี้ ยังไม่ทันออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้งก็กล่าวหากันไว้แล้วว่า “เผด็จการโกงเลือกตั้ง” แม้แต่บัตรเลือกตั้งที่เคาะแล้วว่าใช้รูปแบบที่มีโลโก้ ชื่อพรรค หมายเลขผู้สมัครครบถ้วน ก็ยังไม่เลิกกล่าวหาว่าบัตรโกงเลือกตั้ง!!!

แถมบางพรรค ถึงขนาดปักธงเอาไว้เลยว่า ตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าไม่ถูกโกง พรรคตนชนะเลือกตั้งแน่นอน พอนักข่าวถามว่า แล้วถ้าแพ้เลือกตั้งล่ะ ก็ไม่ยอมตอบ กลับย้ำแต่ว่าถ้าไม่ถูกโกงชนะ 100% แล้วตั้งคณะทำงานจับโกง โดยไม่คิดว่าสังคมเขาก็กลัวพรรคพวกของท่านนั้นโกงเลือกตั้งเหมือนกัน

น่าแปลกใจ พรรคพวกท่านนั้น เคยมีประวัติโชกโชนเรื่องโกงเลือกตั้งเสียด้วย

เคยมีทั้งใช้อำนาจรัฐโกงเอง และจ้างวานนักการเมืองพรรคเล็กให้ช่วยโกง

ทำเอาคอการเมืองอ่านไต๋ไปถึงไหนต่อไหน ว่าถ้าพวกตัวเองโกงชนะ ก็จะบอกว่าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ แต่ถ้าพวกตัวเองแพ้ก็จะมีการจัดฉาก สร้างเรื่อง ปั่นป่วนวุ่นวายกันไม่จบ หรือไม่?

วันนี้ ขอเล่าตำนานฉบับย่อของการโกงเลือกตั้ง “จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง” โดยนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย เพราะคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาติดตามการเมืองอาจจะยังไม่ทันได้สัมผัสถึงธาตุแท้แห่งวิชาโกงเลือกตั้ง ว่าจริงๆ มันเคยมีแบบไหนบ้างในประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วงราวๆ 10 ปีที่ผ่านมา

1.คดีพรรคไทยรักไทยโกงเลือกตั้งด้วยการจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง 2 เม.ย. 2549

มีการอ่านคำพิพากษาในชั้นศาลฎีกา เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2559

แกนนำพรรคเล็ก และเจ้าหน้าที่ กกต.ในฐานะผู้รับจ้าง ถูกศาลฎีกาพิพากษาว่ามีความผิด

แต่นักการเมืองใหญ่ ที่ถูกฟ้องในฐานะจ้างวาน ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิด (ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง) กลับลอยนวล เพราะถูกตัดตอนคดีด้วยการไม่ยื่นฎีกา ทำให้คดีจบแค่ชั้นอุทธรณ์

2.ทำไมต้องจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549

กติกาเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดว่า เขตเลือกตั้งใดที่มีผู้สมัคร สส.แค่คนเดียว ผู้สมัครที่จะได้รับเลือกตั้งเป็น สส.จะต้องได้คะแนนเกินร้อยละ 20

ปรากฏว่า พรรคอื่นๆ เขาบอยคอตต์เลือกตั้ง เพราะไม่อาจร่วมสังฆกรรมกับพรรคไทยรักไทย ที่เหิมเกริมในอำนาจรัฐมากในยุคนั้น (เหิมเกริมไม่น้อยไปกว่ายุคเผด็จการทหาร) แต่ประชาชนในหลายพื้นที่เขาไม่เลือก สุดท้าย ก็เลยเกิดการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง เพื่อให้เป็นคู่เทียบ หลบหนีเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ 2540 (ที่นักการเมืองลูกน้องทักษิณยังสรรเสริญว่าดีที่สุดในปัจจุบัน) แถมยังตัดแต่งข้อมูลการสังกัดพรรคให้ครบ 90 วัน ตามเงื่อนไขด้วย

3.คดีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน

3.1 ส่วนแรก นำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย พรรคแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย รวมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคของทั้งสามพรรคคนละ 5 ปี

กกต.ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก อนุกรรมการฯ ได้สรุปผลสอบว่า ผู้บริหารพรรคไทยรักไทยจ่ายเงินจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งจริง โดยผู้มีบทบาทสำคัญมีอยู่ 4 คน 1.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม 2.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีคมนาคม 3.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือเสธ.ไอซ์ หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม และ 4.พล.ท.ผดุงศักดิ์ กลั่นเสนาะ ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม 

ชี้ว่าการกระทำของ พล.อ.ธรรมรักษ์ ถือเป็นการกระทำในนามพรรคไทยรักไทย เพราะบุคคลทั้งสองมีตำแหน่งใหญ่ในพรรค ประกอบกับเงินที่ให้การสนับสนุนพรรคเล็กก็เป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งผลที่ได้รับก็เป็นประโยชน์กับพรรคไทยรักไทย จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการทำในนามส่วนตัว

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติยุบพรรค 9 : 0 เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2550 ให้เหตุผลว่า จากพยานหลักฐานพบว่า พรรคไทยรักไทยมีการจ้างพรรคแผ่นดินไทยและพรรคพัฒนาชาติไทยจริงตามที่อัยการสูงสุดร้องมา โดยข้อกล่าวหาของอัยการสูงสุดระบุว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ และนายพงษ์ศักดิ์ มีส่วนในการแก้ไขข้อมูลทะเบียนสมาชิกพรรคและจ่ายเงินสนับสนุนให้พรรคพัฒนาชาติไทยลงสมัครรับเลือกตั้ง นอกจากนี้ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือเสธ.ไอซ์ หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม และ พล.ท.ผดุงศักดิ์ กลั่นเสนาะ ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งทั้งสองเป็นลูกน้องและคนสนิท พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้จ่ายเงินให้พรรคแผ่นดินไทยลงสมัครรับเลือกตั้งส่วนที่พรรคไทยรักไทยอ้างว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ และนายพงษ์ศักดิ์ทำในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าฟังไม่ขึ้น เพราะบุคคลทั้งสองเป็นถึงระดับรองหัวหน้าพรรคและรองเลขาธิการพรรค และเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แสดงให้เห็นว่าทั้งสองเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค เมื่อบุคคลทั้งสองกระทำการดังกล่าว ย่อมมีผลผูกพันเป็นการกระทำของพรรค

3.2 ส่วนที่สอง คดีอาญา นำไปสู่การลงโทษจำคุกผู้เกี่ยวข้อง

อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์, นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมืองของ กกต., นายชวการ หรือกรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย, นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6 และ 11 เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2553

ส่วนนี้เอง ที่นำมาสู่การพิพากษาลงโทษจำคุก แต่นักการเมืองใหญ่หลุดรอดไปตอนท้าย

4.คดีจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง อัยการบรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 2-7 มี.ค. 2549 พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับนายชวการ จำเลยที่ 3 จ้างวานให้นายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยมอบเงินค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาท ให้ดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด ให้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งได้

ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2555 (ขณะรัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศ) ให้จำคุกจำเลยทั้งห้า โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่ากระทำผิดจริง

ศาลอาญาได้พิเคราะห์ประเด็นว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ และนายชวการ ได้ใช้ให้นายอมรวิทย์ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่ โดยศาลอาญาเห็นว่า นายชวการเคยให้การว่า ได้รับการติดต่อจากนายทวี สุวรรณพัฒน์ คนสนิท พล.อ.ธรรมรักษ์ ว่า พล.อ.ธรรมรักษ์อยากพบ จากนั้นได้เดินทางไปพบที่พรรคไทยรักไทยช่วงปลายเดือน ก.พ. 2549 ต่อมาวันที่ 3 มี.ค. 2549 ได้ไปพบที่กระทรวงกลาโหม โดยได้รับเงินมา 50,000 บาท เพื่อนำไปจ่ายให้นายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 เพื่อชำระค่าลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพัฒนาชาติไทย จากนั้นวันที่ 6 มี.ค. 2549 นายทวีก็ได้นำเงินมาให้นายชวการอีก 760,000 บาท เพื่อแบ่งให้ผู้สมัคร สส. จากนั้นวันที่ 8 มี.ค. 2549 นายทวีได้นำเงินมาให้อีก 140,000 บาท เพื่อโอนเข้าบัญชีของนายสุขสันต์ จำเลยที่ 4 ซึ่งนายสุขสันต์ เคยเบิกความยอมรับว่า เมื่อได้รับการติดต่อจากนายชวการแล้ว ก็ไปหาผู้สมัคร พร้อมยอมรับว่านายบุญทวีศักดิ์ได้นำแผ่นบันทึกข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยและรายชื่อบุคคลที่จะลงสมัคร สส.มาให้ตนแก้ไข ศาลเห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ที่พรรคฝ่ายค้านไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง โดยมีเพียงพรรคไทยรักไทยและพรรคเล็กเท่านั้นที่ส่งผู้สมัคร จึงเป็นที่คาดหมายได้ว่า หากพรรคไทยรักไทยส่งผู้สมัครเพียงพรรคเดียว โดยเฉพาะใน 14 จังหวัดภาคใต้ พรรคไทยรักไทยย่อมไม่มีโอกาสได้รับเลือกเกิน 20% ตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น การที่นายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 จัดส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งโดยเน้นจังหวัดภาคใต้ จึงสมประโยชน์ของพรรคไทยรักไทย

ขณะที่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหรือหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ากระทำผิดจริง ให้จำคุกจำเลยที่ 1, 3, 4 และ 5 คนละ 3 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา

5.ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2557 (ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศ)

พิพากษาข้อเท็จจริงไปตามศาลชั้นต้น ในส่วนของนายอมรวิทย์ จำเลยที่ 2 คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน

ส่วนความผิดของจำเลยที่ 3-5 แก้โทษจำคุกจาก 3 ปี 4 เดือน เหลือคนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา

ส่วนพล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้โจทก์จะมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ได้จากกระทรวงกลาโหม ที่พวกจำเลยเดินอยู่บนระเบียง โดยภาพช่วงที่เข้าไปยังกระทรวงกลาโหม และออกจากกระทรวงกลาโหม แตกต่างกันตรงที่ปรากฏซองสีขาวในมือของบุคคลที่ปรากฏในภาพวงจรปิด แต่โจทก์ก็ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความ ยืนยันว่าพวกจำเลยได้เข้าไปพบจำเลยที่ 1 ภายในห้องรับรอง และจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้มอบซองที่อาจจะมีการบรรจุเงินในซองดังกล่าว ให้กับจำเลยที่ 3 เพื่อไปมอบต่อให้กับจำเลยที่ 4 และ 5 นำไปให้จำเลยที่ 2 จริงหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษาแก้ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 พล.อ.ธรรมรักษ์

ปรากฏว่า ในขั้นตอนการพิจารณาว่าจะยื่นฎีกาหรือไม่ ในยุครัฐบาล “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” นี่เอง ที่อัยการตัดสินใจไม่ยื่นฎีกาจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้คดีในส่วนของพลเอกธรรมรักษ์จบลงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทั้งๆ ที่ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ

6.สุดท้าย อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2559 พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และจำคุกจำเลยที่ 3-5 คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา 

ส่วน พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 ทางอัยการในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ) ไม่ได้ยื่นฎีกาเพื่อขอให้ศาลลงโทษ ทำให้คดีจบแค่ชั้นอุทธรณ์ คือยกฟ้อง!!

กรณีโกงเลือกตั้ง ด้วยการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง จึงกลายเป็นตำนานให้เล่าขานต่อมาจนถึงปัจจุบัน

สารส้ม