ก้าวสู่ปี 2019 กับเศรษฐกิจการเมืองโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไปสู่จุดที่ดีขึ้นหรือไม่?
เศรษฐกิจโลกปี 2018 นับเป็นปีที่อะไรๆ ก็ผิดไปจากที่คาดการณ์ สหรัฐฯ ที่น่าจะแย่แต่เติบโตดีกว่าที่ประเมิน จีนแม้ยังโต แต่กลับน้อยกว่าที่คาด ที่น่าแปลกใจที่สุดคือยุโรปที่น่าจะดี แต่กลับทวีความเลวร้าย เพราะนอกจากจะเจอภาวะการเมืองทั่วภูมิภาคแล้ว ยังส่งผลไปถึงเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มวิกฤติต่อเนื่องด้วย ด้านไทยเติบโตมากกว่าปีก่อน แม้ไม่ดีมากแต่ก็ดีกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดความผันผวนผิดท่าของเศรษฐกิจโลกในปี 2017 – 2018?
ดูเหมือนการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2017 กับ 2018 จะไม่สอดคล้องกันนัก โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก ที่น่าจะดีขึ้นหลังการเมืองมีความสงบและเปลี่ยนไปสู่การมีผู้นำยุคใหม่ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากสถานการณ์ล่อแหลมต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อาทิ สงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน, ปัญหาระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปในกรณี Brexit และเสถียรภาพของสหภาพยุโรป, ความขัดแย้งในฝรั่งเศสที่เริ่มสะพัดไปทั่วภูมิภาค ส่วนเศรษฐกิจไทย แม้อยู่ในอัตราที่ดีขึ้น แต่สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจภาคครัวเรือน ที่กำลังประสบวิกฤติ ส่อแววปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นในเศรษฐกิจสังคมประเทศไทย
ทุกวันนี้โลกในด้านเศรษฐกิจและการเมือง กำลังประสบความขัดแย้งและกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะในประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ จีน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ความขัดแย้งทางการเมืองพัวพันไปถึงเรื่องเศรษฐกิจจนแยกไม่ออก กลายเป็นปีที่เหมือน WTO ไม่ค่อยได้ทำงาน เพราะเต็มไปด้วยการเกิดขึ้นของมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และภาษี เต็มไปหมดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศคู่ขัดแย้ง แต่ก็กลายเป็นโอกาสให้กับประเทศขนาดกลางที่เป็นทางผ่านของสินค้าให้ได้รับประโยชน์กันทั่วโดยเฉพาะเหล่าประเทศในภูมิภาคเอเชียและไทยเป็นหนึ่งในนั้น หากแต่ขึ้นกับนโยบายการเมืองของผู้บริหารประเทศด้วยที่จะเจรจาต่อรองในการต่างประเทศได้แค่ไหน
เมื่อเจาะลึกลงไปเป็นรายประเทศใหญ่ทางเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐฯ ซึ่งภาพรวมออกมาดีทั้งที่ก่อนหน้าหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอเมริกาอาจจะแย่ลงในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ที่ดีขึ้นอาจเป็นเพราะปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้อย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำเนินนโยบาย Make America Great Again ผ่านการลดภาษี ผ่อนปรนกฎระเบียบทางการเงินและส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ส่งผลให้อเมริกาที่แม้จะเผชิญกับสงครามการค้ากับจีนนอกจากจะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจในประเทศได้แล้ว ยังสามารถลดอัตราว่างงานได้เป็นประวัติกาลพร้อมกับพาจีดีพีประเทศทะยานถึง 4.2% และ 3.4% ในสองไตรมาสที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวนำมาซึ่งความมั่นใจของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายที่สุดตอนนี้ของสหรัฐฯ คือ ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้รีพับลิกันสูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนไป นโยบายหลายอย่างของทรัมป์ในอนาคตจึงอาจจะต้องพับไปพร้อมเสียงสนับสนุนที่ลดลง
ในมุมของเอเชียที่นำโดยพี่ใหญ่อย่างจีนแม้จะเติบโตแต่ก็ดูจะแผ่วลงไปกว่าที่คาดการณ์กันไว้ เพราะนอกจากจะต้องแข่งขันกับสหรัฐฯในสงครามการค้าแล้ว จีนยังเผชิญกับปัญหาภายในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องหนี้จำนวนมหาศาลราวๆ 200% ของจีดีพีที่ทำให้ตัวเลขการเติบโตที่ออกมาในไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้วเติบโตเพียง 6.5% ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนๆ ที่ผ่านมา จึงทำให้รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน อาทิ การลดหย่อนภาษี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงการผ่อนปรนกฎระเบียบทางการเงิน ในขณะที่มีคำถามว่าจีนจะสามารถเรียกคืนความมั่นใจของนักลงทุนกลับมาได้หรือไม่ ยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป ญี่ปุ่นก็เช่นกันที่ถูกมองว่าเศรษฐกิจควรจะดีกว่านี้ก็กลับแย่ลงเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภาคการส่งออกที่ถดถอย ส่งผลให้เศรษฐกิจโตแค่ 1.2% ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่โตถึง 3% ซึ่งนับว่าน่ากังวลไม่น้อย ขณะที่อินเดียมีแนวโน้มเศรษฐกิจพุ่งทะยาน โดยไตรมาสล่าสุดเติบโตน้อยลงเล็กน้อยที่ 7.1% จาก 8.2% ในไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย
ขณะที่ยุโรปผิดไปจากที่ประเมินกันว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยมีสาเหตุจากการเมืองของสองประเทศหลักของสหภาพยุโรปที่เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง โดยฝรั่งเศสได้ผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่อย่างเอ็มมานูเอล มาครง ส่วนเยอรมนียังคงได้นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล มาบริหารประเทศต่อหลังเอาชนะการเลือกตั้งได้ หลายคนมองทีแรกว่าผู้นำรุ่นใหม่อาจทำให้เศรษฐกิจภูมิภาคจะกลับมาดีขึ้น เอาเข้าจริงยุโรปกลับดูแย่ลงและกำลังประสบวิกฤติขนาดใหญ่ทั่วภูมิภาค เพราะจีดีพีของกลุ่มประเทศยูโรโซนโตเฉลี่ยเพียงแค่ 0.2% ในไตรมาสที่ผ่านมา สถานการณ์ของประเทศหัวแถวอย่างเยอรมนี และฝรั่งเศสดูท่าจะไม่สู้ดีนัก ฝรั่งเศส แม้เศรษฐกิจจะเติบโตกว่าไตรมาสก่อน แต่รัฐบาลของเอ็มมานูเอล มาครง กลับถูกมองว่าไร้ความชอบธรรมลงทุกทีจากการบริหารประเทศที่อ่อนประสบการณ์ ปัญหาใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นอย่างขบวนการเสื้อกั๊กเหลืองลุกฮือประท้วงการขึ้นราคาน้ำมันอาจทำให้ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจต่อไปด้วยในอนาคตอันใกล้ ทางด้านเยอรมนีเองล่าสุดเศรษฐกิจเติบโตติดลบ 0.2% ครั้งแรกในรอบหลายปี การบริโภคภาคเอกชนอ่อนแอ และเสียเปรียบด้านการค้าอย่างมาก ปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เจอแรงกระแทกมายาวนานหลายไตรมาสจากกรณีการปล่อยมลพิษหรือที่รู้จักกันในชื่อ Dieselgate ปัญหาของยุโรปยังถูกซ้ำเติมอีกจากกรณี Brexit ที่ยังไม่จบสิ้น ทำให้ สหราชอาณาจักรวุ่นกับปัญหาภายใน จนการเมืองภายในประเทศอยู่ในสภาพติดชะงัก และในอนาคตอาจจะทำให้ยุโรปเสียนายทุนใหญ่อังกฤษไปอีก ข่าวดีเพียงเรื่องเดียวสำหรับสหภาพยุโรป ขณะนี้มีเพียงการที่อิตาลียอมตัดงบประมาณการใช้จ่ายตามนโยบายรัดเข็มขัดที่พอจะช่วยแค่ประคองอียูต่อไปเท่านั้น ในขณะที่สัญญาณของการฟื้นตัวยังคงไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
ปี 2018 จึงเป็นปีแห่งการพลิกโผ จากที่คิดว่าแย่กลับดี จากที่คิดว่าดีกลับแย่ ในแง่ตัวเลขการเติบโตล่าสุดทางด้าน IMF คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งโลกจะโตอยู่ที่ราว 3.7% ในปี 2018 และ 2019 ลดลงมาจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.9% เมื่อเดือนเมษายน โดยสาเหตุที่การประเมินตัวเลขต่ำลงมาจากปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมไปถึงการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าของแต่ละประเทศที่มีผลหลังเดือนเมษายนเป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้เอง การมาถึงของปี 2019 จึงเป็นที่คาดหวังของนักลงทุนจำนวนมาก ว่าอะไรๆ จะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากปัญหาหลายๆ อย่างยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็ดูท่าว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงชะลอตัวต่อไปดังที่ IMF ประเมินไว้
กลับมาดูที่ประเทศไทย เศรษฐกิจไทย เมื่อพิจารณาโดยจีดีพีที่ปรากฏในแต่ละไตรมาส ดูเหมือนจะดี เพราะโตถึง 4.8% ในไตรมาสที่ 1, 4.4% ในไตรมาสที่ 2 และ 3.3% ในไตรมาสที่ 3 ในขณะที่ตัวเลขอื่นๆ เช่น การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภาคเอกชน การนำเข้า-ส่งออก รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกลงไปแล้วเห็นจะมีแต่นายทุนที่ยิ้มแก้มปริ เพราะการเติบโตพุ่งกระฉูดที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับเสียงวิจารณ์ในสังคมว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังและผูกติดสังคมไทยเรื่อยมา จนปัจจุบันประเทศได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ “เหลื่อมล้ำที่สุดในโลก” ไปเสียแล้ว ตามรายงานฉบับปัจจุบันของ CS Global Wealth ประเทศไทยมีค่าความเหลื่อมล้ำอยู่ที่ 90.2% ครองแชมป์เหลื่อมล้ำที่ 1 โดยคนไทยเพียง 1% ครอบครองทรัพย์สิน 66.7% ของประเทศ หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติกาล แตะ 12.34 ล้านล้านบาทสะท้อนภาพเงินออมที่ร่อยหรอ ตลอดจนปัญหาหนี้ไร้คุณภาพและหนี้นอกระบบที่ตามมา ส่วนการบริโภคภาคเอกชน แม้รัฐบาลจะพยายามชี้ว่า กำลังซื้อภาคเอกชนเข้มแข็ง โดยเติบโตถึง 5% อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาตัวเลขดังกล่าวไปพร้อมกับบริบททางเศรษฐกิจแล้ว กำลังซื้อที่พุ่งกระฉูดขึ้นอาจเป็นเพราะมีการซื้อรถยนต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นสำหรับชนชั้นกลางใกล้บนที่กำลังจับจ่ายใช้สอยยังคงเข้มแข็ง แต่กำลังซื้อในช่วงปลายปีเริ่มหดตัวลงอีกครั้งจากภาระหนี้จากการซื้อรถ ซึ่งเมื่อผนวกกับปัญหากำลังซื้อในภาคการเกษตร และเอสเอ็มอีจึงกลายเป็นว่า กำลังซื้อที่พุ่งทะยานตั้งแต่ช่วงต้นปีมาเป็นแค่เพียงตัวเลขเท่านั้น อีกภาคส่วนที่น่าเป็นห่วงคือการท่องเที่ยว จากกรณีเรือล่มที่ภูเก็ตทำให้ชาวจีนมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของการท่องเที่ยวไทยน้อยลง ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวหายไปเกือบสี่แสนคนโดยประมาณ และมีการประเมินมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท ซึ่งแม้จะมีนักนักท่องเที่ยวใหม่เข้ามาแต่หากแก้ปัญหาความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจีนไม่ได้เป็นปัญหาแน่
เศรษฐกิจไทยปีนี้ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องแย่ๆ เพราะเรื่องดีๆ ก็ยังคงมีอยู่ โดยเมื่อมองเศรษฐกิจไทยโดยเชื่อมโยงกับโลกแล้ว ปีหน้าเรายังพอมีโอกาสอยู่บ้าง เพราะระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้าจะมาพร้อมกับบริบทที่เป็นใจจากการที่สงครามการค้าพานักลงทุนต่างชาติในจีนอ่วมกันระนาว ส่งผลให้การประกอบสินค้าในจีนไม่ได้ราคาถูกอีกต่อไป เพราะต้องเจอกับกำแพงภาษีอันสูงชันเมื่อใดก็ตามที่คิดจะส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต้องมองหาแหล่งลงทุนใหม่ ซึ่งไทยในฐานะประเทศปลายทางการลงทุนชั้นนำที่ได้รับการยกระดับขึ้นอีกจากการมาถึงของอีอีซีและข่าวดีอย่างการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจึงมีโอกาสที่จะเรียกนักลงทุนจำนวนมากมาสู่ประเทศได้
อย่างไรก็ตาม ปี 2019 ยังเป็นปีที่ไทยต้องจัดการปัญหาภายในให้ดีเพื่อจะไม่เสียโอกาสนี้ไป ปัญหาที่ว่านี้ที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะต้องรีบเข้ามาทำคือ การกระจายอานิสงส์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจไปสู่คนทุกกลุ่มในสังคม เพื่อไม่ให้การเติบโตในภายภาคหน้าเกิดท่ามกลางปัญหาการเมืองและสังคมมากมายที่จะเกิดขึ้นตามมา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี