การออกมารุกของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งในตอนนี้ อาจถูกมองว่าสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองใหญ่ฝ่ายตรงข้ามคสช. เพื่อเร่งเร้ากระบวนการเลือกตั้ง ก็ดูไม่แปลกนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนหลายฝ่ายแม้กระทั่งนักวิชาการการเมืองที่น่าจะสนับสนุนแนวคิดรัฐบาลมาก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีที่เปลี่ยนไป
“5 ปี ที่สาละวนขายชาติ กลโกงของรัฐบาลและ สนช.เพื่อผลประโยชน์นายทุนและขายชาติให้ต่างชาติ” หรือ “ใช้เงิน 17 ล้านล้าน เวลา 5 ปี ยังขายชาติและประชาชนไม่เสร็จ” ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ซึ่งออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล คสช. แบบแรงๆ ครั้งแรก ลงในช่องทางเฟซบุ๊คส่วนตัว ที่แม้ถ้อยคำดังกล่าวแม้จะเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังเป็นกระแสที่หลายฝ่ายจับตา
ประเด็นหลักของ ดร.อาทิตย์ที่น่าสนใจคือเรื่องการใช้เงินของรัฐบาล อย่างเรื่องของการใช้งบประมาณ17 ล้านล้าน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยถึงปีละ 3 ล้านล้านบาท และยังมีการเพิ่มงบกลางปีและการโอนงบจากส่วนราชการอื่นๆ มาเป็นงบกลางและงบกองทุนประชารัฐทำให้อาจถูกมองว่า รัฐบาลยังมีช่องว่างในการนำเงินมาใช้โดยแทบจะไม่ผ่านการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้นหรือไม่ ในขณะที่หากจะประเมินผลสัมฤทธิ์ จากการใช้งบประมาณดังกล่าว จากที่รัฐบาลสรุปว่าทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตนั้น ทว่าในความเป็นจริง ใครรวยขึ้นในภาพรวม ขณะที่สภาพเศรษฐกิจภาคครัวเรือนประชาชนดีขึ้นหรือแย่ลง? ซึ่งคนละเรื่องกับการที่รัฐบาลแจกเงินประชาชน? เพราะคงไม่มีใครมองว่านี่คือฝีมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หากแต่อาจถูกวิจารณ์ด้วยซ้ำว่าที่พึ่งมาทำนั้นเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือไม่
อย่างไรก็ตามก็มีเสียงชื่นชมในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมาโดยท่ามกลางความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมืองรัฐบาลคสช. ก็ทำสิ่งที่รัฐบาลประชาธิปไตยไม่สามารถทำได้ อย่างเรื่องการจัดการให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ซึ่งตลอด 4 ปี ที่ผ่านมาไม่มีม็อบหรือการประท้วงใดมาทำให้การบริหารงานของรัฐบาลสั่นคลอนไปเลย นอกจากนี้ในสิ่งที่รัฐบาลปกติไม่มีทางทำได้หรือทำได้น้อยคือการออกกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งในระยะเวลาการบริหารประเทศของคสช.ที่ผ่านมา ทาง สนช. สามารถผ่านกฎหมายไปแล้วเกือบ 300 ฉบับ ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลพลเรือนคณะไหนเคยทำได้?
แต่ก็มีเสียงจากประชาชนว่ากฎหมายที่ออกมามีประโยชน์ต่อใครกันแน่? เพื่อประชาชนหรือเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายใด? เพราะเมื่อลองพิจารณาดูแล้ว กฎหมายที่ออกมาหลายเรื่องดูจะขัดกับความต้องการของประชาชนหรือไม่? หรือมีหลายสิ่งที่เป็นคำถามอย่างการออกกฎหมายการขึ้นเงินเดือนข้าราชการไม่ต่ำกว่า 11 ฉบับ กฎหมายเพิ่มอำนาจข้าราชการเพื่อให้ทัดเทียมกับฝ่ายนโยบายซึ่งแทบไม่เคยมีมาก่อน ถามว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการจริงๆ อย่าง กฎหมายที่ดิน เพื่อให้สิทธิคนจนในการประกอบอาชีพ หรือกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างกฎหมายภาษี ก็ไม่เกิดขึ้นเสียทีทั้งๆ ที่มีการเปิดฉากว่าจะทำหรือออกมาแล้วแต่ก็มีคนตั้งข้อสงสัยว่าแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ ส่วนที่เห็นชัดที่สุดคงจะเป็นกฎหมายการปฏิรูปตำรวจที่มี
คณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ประชาชนต่างเรียกร้องให้อำนาจตำรวจตกลงไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสียที
ส่วนกิจกรรมทางการเมืองอย่างการเลือกตั้งคือสิ่งที่ประชาชนร้องขอ และหน้าที่ที่รัฐบาลรักษาการคณะนี้ที่ควรต้องทำอย่างที่เคยประกาศเป็นเหตุผลหนึ่งในการทำรัฐประหารว่าต้องการที่จะปฏิรูปการเมืองเสียทีจนประชาชนยอมที่จะให้มีรัฐประหารเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศแบบถอนรากถอนโคนจริงๆจากวิถีการเมืองน้ำเน่าแบบเก่าๆ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลรักษาการชุดนี้ที่ต้องทำเมื่อกฎหมายทุกอย่างพร้อมแล้วเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้งยุคใหม่เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนที่ห่างหายการเลือกตั้งไปกว่า 7 ปี และให้เกิดความเป็นธรรมแก่พรรคการเมืองทุกพรรคอย่างเท่าเทียม
หากแต่ สุดท้ายของภารกิจกลับดูเหมือนมีอะไรแปลกๆไปจากที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่?
ปฎิรูปพรรคการเมือง
แนวทางหนึ่งในการปฏิรูปการเมืองคือการ ปฏิรูปพรรคการเมือง ที่แม้จะมีมิติใหม่ในทิศทางที่ดีอย่างการตรวจสอบพรรคการเมืองอย่างละเอียดและเข้มงวดเช่นในการหาสมาชิกพรรค ที่ถูกมองว่าเซตซีโร่พรรคการเมืองเก่า หรือการทำตัวเลขบัญชีของพรรคการเมือง แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าส่งผลให้พรรคการเมืองส่วนใหญ่อ่อนแอลงด้วยหรือไม่ ซึ่งที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดคงหนีไม่พ้น การออกกฎหมายควบคุมพรรคการเมืองในการหาเสียงอย่างเคร่งครัด จนแทบจะเป็นการจำกัดพรรคการเมืองจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ อย่างเช่นการกำหนดวิธีการสื่อสารทั้งทางสื่อออนไลน์แลป้ายหาเสียงตามถนนหนทาง รวมถึงการควบคุมการใช้สถานที่ราชการในการหาเสียง
ได้พรรคการเมืองใหม่ที่ไม่ใหม่?
ในขณะเดียวกันสิ่งที่ประชาชนไม่ได้ร้องขอ แต่กลับได้เป็นของแถม อย่างพรรคการเมืองใหม่ที่อ้างว่าเป็นทางเลือกที่ 3 ซึ่งก็คงไม่ผิดแปลกอะไร หากพรรคสนใจการเมืองจริงๆ และพร้อมเข้ามาแก้ปัญหาของประชาชนและพร้อมทำตามกฎหมายทุกขั้นตอน แต่สิ่งที่ประชาชนไม่สบายใจคือการที่พรรคใหม่ ดำเนินการสองอย่างคู่กันเสมอ อย่างแรกคือการบริหารพรรค อย่างที่สองคือการใช้อำนาจรัฐบนโต๊ะครม. ในการตรวจเยี่ยมและสั่งการในภูมิภาค ซึ่งต้องยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวกำลังกลายเป็นพื้นที่หาเสียงอของพรรคไปแล้ว? อันที่จริงพรรคพลังการเมืองใหม่นั้น หากจะอ้างว่าเป็นทางเลือกที่ 3 จริง ทางเลือกนี้ควรต้องเป็นทางเลือกที่อิสระ ไม่ใช่ถูกบังคับหรือถูกชี้นำเช่น การทำโครงการประชานิยม ในช่วงทับซ้อนในช่วงก่อนเลือกตั้ง อย่างที่ถูกวิพากวิจารณ์อยู่ตอนนี้
หรือการที่มีข่าวว่ามีการใช้คนของรัฐบาลผสมกับคนของพรรคการเมือง ทำงานเก็บข้อมูลพื้นที่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งต้องตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามของแถม
ดังกล่าวมันก็เป็นของดีได้ หากเป็นทางเลือกที่ก่อให้เกิดมิติใหม่ทางการเมือง อุดมการณ์ใหม่ นักการเมืองหน้าใหม่ๆอย่างแท้จริง ตลอดจนวิธีในการจัดการทางการเมืองที่ไม่น้ำเน่าแบบเดิม สิ่งสำคัญคือต้องปราศจาการทุจริตหรือเสี่ยงต่อการซื้อเสียงในวังวนแบบเดิมๆ แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เพราะพรรคการเมืองขั้วที่ 3 ที่ว่านี้กลับไม่เข้าร่วมลงนามสัญญาประชาคมว่าด้วยการเลือกตั้งโดยสุจริตเที่ยงธรรม โดยเลขาธิการพรรคให้คำตอบในเรื่องนี้ไว้เพียงว่า พรรคไม่ได้หารือจึงไม่ได้มีมติไปเข้าร่วม ซึ่งถูกมองว่าฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะเป็นพรรคใหม่เป็นพรรคใหญ่และที่สำคัญมีอดีตสส.นักการเมืองรุ่นเก่าที่ไปรวบรวมมาจำนวนนับร้อยที่อาจสะท้อนความคิดหรืออะไรบางอย่าง?
อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นพรรคพลังประชารัฐทำให้สังคมพุ่งความสนใจไปยังพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้รัฐบาล คสช. ตกอยู่ภายใต้การถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า
ต้องการสืบทอดอำนาจหรือไม่ ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดจากฝั่งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีว่าตกลงจะเอาอย่างไร หากสังเกตการณ์ตอบคำถามสื่อในหลายๆ ครั้งก็ยังมีลักษณะของการเลี่ยงพูดถึงทั้งจากพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรถึงการเข้าร่วมกับพลังประชารัฐในหลายๆครั้ง ซึ่งการเข้าสู่อำนาจต่อ หรือไม่ หรือการลงสมัครเองเลย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องผิด เพียงแต่ควรจะต้องแสดงความจริงใจต่อประชาชนว่าจะลงต่อหรือไม่ เพราะประชาชนอาจใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งก็เป็นได้
“จะมีชีวิตอยู่โดยทรงคุณค่าเป็นที่ลำบากก็จริงจะตายให้มีคุณค่ายิ่งยากเข็ญกว่ามากนัก...”
โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี