พลเอกกิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้เคยมีบทบาทสำคัญในการเจรจาเพื่อความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เตือนสติให้รัฐบาลไทยให้รอบคอบในการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลาง ที่อ้างว่าถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลหรือแม้แต่ถูกกดขี่ข่มเหงทรมานจากในบ้านของตัวเอง เช่น ในกรณีน.ส.ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด เอ็ม อัลคูนัน อายุ 18 ปี ชาวซาอุดีอาระเบียที่หนีจากครอบครัวมาประเทศไทยสุดท้ายได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศแคนาดา ว่า
“กรณีนี้..พี่ว่าทางการไทยไม่รอบคอบเพราะนำเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมประเพณี สีผิวขึ้นมาประกอบการพิจารณา แล้วตัดสินว่าเธอถูกละเมิด เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากอาจส่งผลถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้” อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า “วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การปกครองในประเทศมุสลิม จะให้เหมือนฝรั่งทุกอย่างไม่ได้ ดังนั้นการอ้างคำว่าสิทธิมนุษยชน มาล้มล้างวัฒนธรรมประเพณีสีผิวของเขาไม่ได้”
น.ส.ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด เอ็ม อัลคูนัน ที่เธออ้างว่าครอบครัวบังคับให้แต่งงานเธอจึงหนีมาประเทศไทยเพื่อเดินทางต่อไปออสเตรเลีย ถ้าส่งกลับเธอต้องถูกทรมานและฆ่าตายจากคนในครอบครัวและสุดท้ายเธอได้เดินทางต่อไปที่แคนาดา แต่ทันทีที่ไปถึงโตรอนโต องค์กรสิทธิมนุษยชนใต้อาณัติของประเทศตะวันตก เพื่อทำปฏิบัติการข่าวปลุกระดมล้างสมองให้หญิงชาวซาอุดีฯ อิหร่าน ปากีสถาน ฯลฯ ขบถต่อครอบครัวและวัฒนธรรมประเพณีของตัวเอง ให้หนีออกมาสู่ประเทศเสรีฉลองความสำเร็จกันครื้นเครง จัดการให้เธอแต่งตัวแบบวัยรุ่นฝรั่ง ดื่มกาแฟ กินเบคอนในร้านสตาร์บัคส์ ถ่ายรูปโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คว่า “โอ้มายก็อด เบคอน”
กรณีน.ส.เอ็ม อัลคูนัน จึงเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ UNHCR กับ NGO ซึ่งเกิดขึ้นได้ในประเทศไทยทั้งๆ ที่ประเทศตะวันตก NGO และ UNHCR ทำปฏิบัติการข่าวเช่นนี้ล้มเหลวมาแล้วในหลายประเทศ เช่น ในฟิลิปปินส์เมื่อปี 2560 หญิงชาวซาอุดีฯ หนีจากบ้านมาต่อเครื่องบินที่กรุงมะนิลา โดยอ้างจะว่าเดินทางต่อไปลี้ภัยในออสเตรเลียแต่รัฐบาลดูเตอร์เต้ ไม่ตกเป็นเหยื่อโฆษณาชวนเชื่อและแรงกดดันจาก UNHCR ส่งผู้หญิงคนนั้นกลับซาอุดีฯกับเครื่องบินเที่ยวแรกที่มี
เป็นสันดานของประเทศตะวันตก NGO และ UNHCR ที่ได้คืบจะเอาศอกได้ศอกจะเอาวา เมื่อประสบความสำเร็จกรณีน.ส.เอ็ม อัลคูนัน แล้วจึงรุกคืบเดินหน้าต่อไปในกรณีฮาคีม อัล อาไรบี อดีตนักฟุตบอลชาวบาห์เรน ที่ถูกจับในประเทศไทยตามหมายแดงของอินเตอร์โพลในข้อหาผู้ร้ายหนีคุก
นายฮาคีม เป็นมุสลิมนิกายซีอะห์ ที่ไม่พอใจรัฐบาลของราชวงศ์อัลคาลิฟาซึ่งเป็นซุนนี่ผู้ปกครองรัฐบาห์เรน ในปี 2555 นายฮาคีมกับพี่ชายเข้าร่วมขบวนการอาหรับสปริงที่ประเทศตะวันตกปลุกระดม ให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลเปลี่ยนแปลงการปกครองในกลุ่มประเทศอาหรับ นายฮาคีม
กับพี่ชายถูกจับดำเนินคดีหลายครั้งหลายครา และครั้งสุดท้ายเขาถูกดำเนินคดีข้อหาเผาทำลายสถานีตำรวจก่อนหนีออกนอกประเทศและถูกศาลตัดสินลับหลังให้จำคุก 10 ปี
นายฮาคีมหลบหนีไปประเทศออสเตรเลียเมื่อปี 2557 อ้างว่าใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นปลอดภัยภายใต้หนังสือคุ้มครองของ UNHCR ในฐานะผู้ลี้ภัยและได้เป็นนักบอลกับสโมสรนักฟุตบอลสโมสรกึ่งอาชีพทีมพาสโก้วีล เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมานายฮาคีมอ้างว่าเดินทางมาฮันนีมูนกับภรรยาและถูกจับในประเทศไทยตามหมายจับสีแดงของอินเตอร์โพล
ทันทีที่นายฮาคีมถูกควบคุมตัว กลุ่มสิทธิมนุษยชนสื่อมวลชน NGO และ UNHCR ปลุกระดมประโคมข่าวกดดันให้ปล่อยผู้ต้องหาทันทีโดยอ้างว่านายฮาคีมเป็นผู้ลี้ภัยที่ได้รับรองจาก UNHCR และเป็นนักฟุตบอลของทีมสโมสรในออสเตรเลีย ประเทศตะวันตกกับองค์กรสิทธิมนุษยชนไม่พูดถึงสิ่งที่นายฮาคีมทำผิดกฎหมาย มองข้ามกระบวนการยุติธรรมกฎหมายของประเทศไทย ไม่สนใจหมายจับแดงของอินเตอร์โพลที่ประเทศสมาชิกทั่วโลกต้องปฏิบัติตาม
จากการปลุกระดมของ UNHCR ทำให้องค์กรกีฬาทั้งสมาพันธ์ฟุตบอลโลกและโอลิมปิกสากล ถูกลากเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมืองที่ทั้งประธานฟีฟ่าและโอลิมปิกสากลออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยนายฮาคีมทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ล่าสุดนายสกอต มอร์ริสัน นายกฯออสเตรเลีย ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักฟุตบอลบาห์เรน ที่ได้สถานะผู้ลี้ภัยในออสเตรเลียแต่ถูกคุมขังในไทยตามหมายจับบาห์เรนทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ขณะที่ภรรยานายฮาคีมเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯไทย วิงวอนให้ปฏิบัติแบบเดียวกับกรณีสาวน้อยชาวซาอุดีฯ ที่หนีออกจากบ้านและได้สิทธิลี้ภัยในแคนาดา
แรงกดดันให้ปล่อยตัวนักโทษหนีคดีอย่างไม่มีเงื่อนไขหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ โดยที่ไม่มีใครพูดถึงที่มาที่ไปของผู้ต้องหา ตลอดถึงกฎหมายของประเทศไทย และความสัมพันธ์ที่มีต่อประเทศภาคีทำให้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยบาห์เรน ซีกราชิค บิน อัลดุลลอห์ อัล-คาลีฟะห์ ออกแถลงการณ์ว่า “กระบวนการส่งตัวกลับกำลังดำเนินการตามกฎหมาย การแทรกแซงกิจการภายในของบาห์เรนโดยอิทธิพลภายนอกเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทยแถลงได้รับหนังสือขอตัวนายฮาคีม อย่างเป็นทางการจากบาห์เรน เมื่อวันจันทร์ที่ 28 มกราคม และได้ส่งเรื่องต่อไปให้อัยการพิจารณาดำเนินการ วันที่ 4 ก.พ. อัยการต่างประเทศนำนายฮาคีม ขึ้นฟ้องศาลเพื่อพิจารณาคดีส่งตัวกลับตามคำขอบาห์เรน และศาลมีคำสั่งให้นายฮาคีมนำหลักฐานมาสู่คดีคัดค้านการส่งกลับภายในวันที่ 5 เม.ย.2562 แต่กระบวนการยุติธรรมของไทยต้องดำเนินคดีท่ามกลางความกดดันจาก NGO กับ UNHCR และสถานทูตออสเตรเลีย ที่ปลุกระดมนักเคลื่อนไหวมากดดันให้รัฐบาลปล่อยตัวโดยนายฮาคีม โดยไม่แยแสต่อกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายไทยดังที่นายตราชู กาญจนสถิตย์ ให้ข้อความเตือนสติว่า
“กรณีนายฮาคีม เมื่อเข้าระบบกฎหมายไทยแล้วเราต้องทำตามกฎหมายไทย ไม่ใช่ทำตามคำขอของออสเตรเลีย หรือ บาห์เรน นายฮาคีมต้องเอาหลักฐานมาบอกศาลไทยว่าเค้าไม่ได้ทำความผิด ให้ศาลเห็นว่าเธอไม่ควรต้องกลับไปรับคำตัดสินของบาห์เรน ศาลจะพิจารณาเองเพราะเราไม่มีอะไรผูกมัดกับบาห์เรน ศาลต้องฟังจากฮาคีมและทนายไม่ใช่จากโซเชียลมีเดีย นายฮาคีมจะเตะบอลที่ไหน ตอนไหนอะไรยังไงศาล
ไม่ทราบ เอาหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสิศาลจะฟังศาลชั้นต้นไทยตัดสิน ถ้าไม่ลงตัวจากนั้นส่งไปศาลอุทธรณ์”
นายฮาคีม ถูกควบคุมตัวตามหมายจับสีแดงของอินเตอร์โพล และเจ้าหน้าที่ไทยกำลังดำเนินการตามกฎหมายไทยต่างประเทศไม่ควรบิดเบือนให้เป็นเรื่องกีฬาและสิทธิมนุษยชน หรือกรณีน.ส.เอ็ม อัลคูนัน เป็นเรื่องในครอบครัวที่คนนอกอ้างคำว่าสิทธิมนุษยชนไปเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีไม่เป็นที่สมควรยิ่ง และถ้าประเทศไทยใช้อำนาจบริหารปล่อยตัวนายฮาคีมตามแรงกดดันของ UNHCR ร่วมกับNGO ต่างชาติและนักเคลื่อนไหวไทย ต่อไปจะมีคนต่างชาติอ้างว่าลี้ภัย อ้างว่าถูกครอบครัวทำร้ายหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยไม่มีที่สิ้นสุด
วันนี้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของผู้ลี้ภัยและแหล่งหารายได้ของ UNHCR เพราะแม้แต่ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ, Amnesty International และ Asylum Access ต่างออกมาเปิดเผยตัวเลขว่า จำนวนผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตเมืองต่างๆ ในปี 2561 มีประมาณ 10,000 คน ที่ลี้ภัยมาจากซีเรีย ปากีสถาน โซมาเลีย อิรัก เวียดนาม ปาเลสไตน์ ฯลฯ และน่าตกใจเมื่อพบว่าผู้ลี้ภัยที่ได้รับการคุ้มครองจาก UNHCR ใประเทศไทยได้รับเลือกให้ไปตั้งรกรากในประเทศที่สามเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าผู้อพยพเมื่อมาถึงประเทศไทยได้รับหนังสือคุ้มครองจาก UNHCR 99% ทำมาหากินอย่างผิดกฎหมายอยู่ในประเทศไทย
น.ส.เอ็ม อัลคูนัน เป็นกรณีแรกที่หนีจากครอบครัว แล้ว UNHCR โดยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ไทยได้ส่งต่อไปแคนาดาที่เหลืออีกเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ตกเป็นภาระของประเทศไทยที่ได้รับผลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม อาชญากรรมตลอดถึงผลข้างเคียงจากผู้ก่อการร้ายที่อาจตามมา ดังที่พล.อ.กิตติ กล่าวว่า “การตัดสินใจไม่รอบคอบอาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดการตอบโต้ทางสังคมเศรษฐกิจและก่อการร้ายได้...” ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นถังขยะใบใหม่ของ UNHCR
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี