สภาพการต่อสู้ทางการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปเป็นที่รู้กันว่าได้เกิดสภาพสามก๊กขึ้น คือก๊กเพื่อไทยก๊กหนึ่ง ก๊กประชาธิปัตย์ก๊กหนึ่ง และก๊กพลังประชารัฐอีกก๊กหนึ่ง ซึ่งแต่ละก๊กก็มีพันธมิตรพรรคเดียวบ้างหรือหลายพรรคบ้าง ยกเว้นก็แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้จัดตั้งพรรคย่อยไว้เป็นพรรคสำรองหรือเป็นพรรคพันธมิตร
ภายใต้สภาพสามก๊กดังกล่าวนั้น พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศให้แกนนำของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยพรรคเพื่อไทยได้ประกาศให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และนายชัชชาติสิทธิพันธุ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ประกาศให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
สำหรับก๊กพลังประชารัฐนั้น เดิมมีมติให้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรครวม 3 คน คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายอุตตม สาวนายน และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แต่หลังจากมีการยื่นคำเชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาแล้ว ต่อมาภายหลังได้มีการถอนชื่ออีกสองคนที่เหลือ จึงทำให้พรรคพลังประชารัฐมีนายกรัฐมนตรีคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียว
ในระดับพรรคพันธมิตรนั้น ก็เป็นที่รู้กันว่าพรรคตระกูลเพื่อทั้งหลาย รวมทั้งพรรคไทยรักษาชาติ และพรรคอนาคตใหม่ ล้วนเป็นพันธมิตรของก๊กเพื่อไทย ในขณะที่พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป รวมทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย โดยพรรคภูมิใจไทย และพรรคอนาคตใหม่นั้น ได้เสนอหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี
ครั้นระยะเวลากำหนดการเลือกตั้งทั่วไปเหลือเพียงอีกไม่กี่วันก็ปรากฏผลโพลล์ยืนยันผลโพลล์ก่อนหน้านี้ตรงกันในลักษณะทั่วไปว่า คนส่วนใหญ่สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่คนส่วนใหญ่กลับสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ตามมาด้วยพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคพลังประชารัฐตกไปเป็นลำดับที่สาม
ในขณะที่พรรคพันธมิตรทั้งหลายที่ไม่ได้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้แผ่วเสียงลงโดยลำดับ โดยเฉพาะพรรคที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คะแนนเสียงตกไปจนแทบหากระแสไม่ได้สาเหตุสำคัญก็เพราะว่าผู้ที่นิยมชื่นชมพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หันไปเทคะแนนเสียงให้พรรคพลังประชารัฐแทน เพราะไม่ต้องเสียเวลาลงคะแนนโดยอ้อมให้กับพรรคอื่น
ทำให้พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป และพรรคอื่นๆ ที่ประกาศสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีกระแสแผ่วลงจนน่าตกใจ
ยกเว้นก็แต่พรรคพันธมิตรสองพรรค คือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคพันธมิตรของพรรคพลังประชารัฐ มาแต่เดิมและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดเพราะประกาศนโยบายเสรีกัญชา ทำให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องและมีส่วนได้เสียกับผลประโยชน์ดังกล่าวพากันเทเสียงสนับสนุน จนแกนนำพรรคภูมิใจไทยมีความมั่นใจว่าจะได้รับเลือกตั้งถึง 70 ที่นั่ง
ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่คนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 18-25 ปี กว่า 7 ล้านคน และประสบผลสำเร็จในการรณรงค์เลือกตั้งแบบใหม่ชนิดที่เข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ กระแสจึงพุ่งแรงแซงทางโค้งขึ้นมาจนเป็นที่ตื่นตกใจของหลายพรรค จึงเกิดกระบวนการโจมตีทำลายพรรคอนาคตใหม่อย่างครึกโครม ถึงขั้นเกิดกระแสว่ามีคนหาทางที่จะยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้
ซึ่งต้องไม่ลืมว่านี่เป็นเรื่องของการเมือง อาจจะหาเรื่องยุบพรรคบางพรรคได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะสงคราม เพราะผลแท้จริงอาจจะเกิดขึ้นตรงกันข้าม ดังเช่นความพยายามโจมตีพรรคอนาคตใหม่ที่ใช้สื่อหลักหลายสำนัก และใช้นักวิชาการมือเก๋าหลายคนรุมกันตีรุมกันกระหน่ำ แต่กลับกลายเป็นว่าบรรดาคนแก่คนเก๋าทั้งหลายที่รับจ๊อบมาทำงานนี้ล้วนหน้าแตกหงายท้องตามๆ
กัน เพราะนอกจากไม่ได้ผลแล้ว กลับถูกคนรุ่นใหม่รุมกันถอนหงอกอย่างน่าเวทนา ดังนี้เป็นต้น
และที่น่าจับตามากที่สุดก็คือ ผลโพลล์ล่าสุดที่พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนเสียงเรียงลำดับกันมาหนึ่ง สอง สามจนเห็นได้ชัดว่าคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยถ้ารวมกับพรรคประชาธิปัตย์แล้วก็จะเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
และถ้ารวมกับผลโพลล์คะแนนของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคอนาคตใหม่แล้วก็อาจมีคะแนนเสียงรวมกันเกิน 376 เสียง ซึ่งเพียงพอที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีได้ดังนั้นจึงทำให้ความคาดหมายเดิมที่เสียง สว. 250 เสียง เป็นฐานเสียงใหญ่ โดยพรรคพลังประชารัฐทำคะแนนเสียงเพียง 126 เสียง ก็สามารถเลือกพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ถูกท้าทายครั้งสำคัญ
และล่าสุดนี้ทั้งหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคภูมิใจไทยซึ่งได้กลายเป็นตัวแปรและเป็นผู้ถือดุลทางการเมืองที่สำคัญไปแล้ว ก็ได้ประกาศท่าทีทางการเมืองครั้งใหม่ว่า สว. ไม่ควรออกคะแนนเสียง เพราะควรเปิดโอกาสให้ผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากประชาชนเป็นผู้สรรหานายกรัฐมนตรีกันเอง
ถัดมาก็มีการประกาศท่าทีเสริมเข้าไปอีกว่า ถ้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก พรรคภูมิใจไทยก็จะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย
ถ้าถือเอาก๊กเพื่อไทยและก๊กพลังประชารัฐเป็นคู่แข่งในการจัดตั้งรัฐบาล มาถึงวันนี้สถานการณ์มีความชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยได้กลายเป็นผู้ถือดุลที่เด็ดขาดแล้ว สองพรรคนี้รวมกันสนับสนุนก๊กไหนก๊กนั้นก็จัดตั้งรัฐบาลได้
แต่อย่ามองข้ามที่ก๊กเพื่อไทยจะเทคะแนนเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคภูมิใจไทยให้เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อกันพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ออกจากวงอำนาจไปก่อน จากนั้นก็จะเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองทั้งหลายจะขับเคี่ยวกันด้วยเชิงชั้นทางการเมืองต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าจับตาอย่างยิ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี