เสียงโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจผู้ได้รับสัมปทานผูกขาดในประเทศไทย เคยบอกว่า ผมรวยแล้ว ผมไม่โกง แต่สุดท้ายสังคมก็ประจักษ์ชัดว่า คำพูดของนักธุรกิจการเมืองที่ว่ารวยแล้วไม่โกง เป็นจริงหรือไม่
เมื่อทักษิณ ชินวัตร หนีคดีอาญาแผ่นดินไปอยู่ต่างประเทศ สังคมไทยก็ไม่เคยสิ้นไร้นักธุรกิจการเมือง เพราะการเมืองไทยคือแหล่งผลประโยชน์แหล่งใหญ่ที่สุด ดังนั้น จึงมีนักธุรกิจการเมืองสนใจแหล่งผลประโยชน์แหล่งนี้
เป็นธรรมดาที่นักธุรกิจการเมืองจะต้องบอกว่าตนเองไม่โกง ตนเองรวยแล้ว และบอกว่าแม้ตนเองจะมีหุ้นส่วน หรือเป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท แต่ตนเองจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับธุรกิจเหล่านั้น บางคนอ้างว่าวางมือจากการทำธุรกิจแล้ว ซึ่งบางคนก็อาจจะวางจริง แต่บางคนก็สร้างภาพว่าวางมือจากธุรกิจแล้ว แล้วป่าวประกาศว่าจะอุทิศตัวอุทิศตนเพื่องานการเมือง เพื่อผลประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชน และจะเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้ก้าวไปสู่ความขาวสะอาด แถมยังอ้างว่าจะทำให้สังคมไทยมีความเท่าเทียมกัน
ช่างเป็นเรื่องแสนตลกที่นายทุนผู้ทำธุรกิจหลายหมื่นหลายแสนล้านบาท ซึ่งผันตัวเองไปเป็นนักธุรกิจการเมืองกล้าประกาศ หรือหากจะพูดตรงๆ ก็คือ กล้าโกหกว่าจะอุทิศตัวเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ตามธรรมดาแล้วนายทุนก็ต้องหวังกำไรจากการทำธุรกิจ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดในการทำการค้าการขาย แต่การที่นายทุนผู้เป็นนักธุรกิจการเมืองกล้าประกาศว่าไม่ได้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากการเมือง นี่คือการโกหก ที่ต่อให้ประชาชนที่โง่เขลาเบาปัญญาที่สุดก็ไม่น่าจะหลงเชื่อ แต่ถึงแม้นายทุนการเมืองจะรู้ดีว่าตนโกหก แต่ก็ยังคงต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ เพราะการโกหกเช่นนี้ช่วยทำให้เขาสามารถเดินหน้าเข้าสู่เวทีการเมืองได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็โกหกตัวเองได้แล้วว่าเขาคือคนดี แล้วเขาก็พยายามหลอกตัวเองให้เชื่อว่าคำโกหกของเขา อาจทำให้คนบางกลุ่มหลงเชื่อได้
สังคมไทยได้เห็นพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ของทักษิณมาแล้วในต่างกรรมต่างวาระ แล้วบัดนี้สังคมไทยก็กำลังเฝ้าจับตามองการดำเนินรูปแบบการเมืองของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แม้ธนาธรจะไม่เคยประกาศว่า รวยแล้ว ไม่โกง แต่สิ่งที่ธนาธรแอบอ้างเรื่อง Blind Trust ก็ทำให้คนไทยที่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของนักธุรกิจการเมือง พอจะมองออกว่าธนาธรกำลังแสดงละครการเมืองอย่างไร
ไม่มีใครห้ามนักธุรกิจลงสู่สนามการเมือง หากนักธุรกิจเหล่านั้นทำตามกฎกติกาและระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่มีใครเชื่อโดยสนิทใจว่านักธุรกิจการเมืองจะไม่เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ ในเมื่อตนเองมีอำนาจรัฐ
หลายคนรู้ชัดแล้วว่าเมื่อวันที่ทักษิณมีอำนาจรัฐในกำมือ เขาใช้อำนาจเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองมากมายเพียงใด วันนี้จึงช่วยไม่ได้ที่คนไทยผู้มีปัญญาจึงต้องเฝ้าจับตามองว่าธนาธรจะดำเนินตามรอยการเมืองของทักษิณหรือไม่ หากจะถามว่าทำไมจึงตั้งคำถามเฉพาะกับธนาธร เหตุใดไม่ตั้งคำถามกับ อนุทิน ชาญวีรกูล แห่งพรรคภูมิใจไทย บ้าง ก็ต้องบอกว่า จริงๆ แล้วสังคมไทยจับตามองนักธุรกิจการเมืองทุกราย เพียงแต่ที่เขาจับตามองธนาธรมากเป็นพิเศษเพราะเห็นว่าเส้นทางเดินของธนาธรมันคล้ายๆ กับเส้นทางเดินของทักษิณ ส่วนจะเดินซ้ำรอยหรือไม่นั้น ทุกคนกำลังเฝ้าติดตาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี