ในยุคสงครามเย็นและในยุคสมัยที่ประเทศไทยทำสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตลอดห้วงระยะเวลาสงครามเย็น จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลงในยุคสมัยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นั้น มีคำคำหนึ่งที่ติดปากผู้คนทั้งหลาย นั่นก็คือคำว่า “แนวร่วมมุมกลับ”
“แนวร่วมมุมกลับ” ก็คือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่คับแค้นใจ ไม่พอใจ และถูกขับไล่ไสส่งจากอำนาจรัฐจนไม่อาจทนอยู่ในสภาพปกติสุขได้ และจำต้องเข้าพวกไปเป็นหมู่คณะของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
โดยเฉพาะหลังกรณี 6 ตุลาคม ได้มีนิสิตนักศึกษาจำนวนมากที่ถูกล้อมปราบในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้หลั่งไหลเข้าป่าไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาลไทยตั้งแต่ช่วงเวลา 2519 จนกระทั่งถึง 2529 ที่สงครามสิ้นสุดเบ็ดเสร็จโดยนโยบายปรองดองหรือคำสั่ง 66/2523
เหตุการณ์ครั้งนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยได้ขยายตัวเติบโตขึ้นเป็นประวัติการณ์ สามารถขยายเขตสู้รบกับรัฐบาลถึง 47 จังหวัด ในขณะที่ชายแดนด้านประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งด้านพม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ก็มีไฟสงครามคุกรุ่นอยู่ทั้งสิ้น
จึงทำให้เกิดความเชื่อขึ้นโดยทั่วไปและโดยทั่วโลกว่าประเทศไทยจะเป็นโดมิโนตัวสุดท้ายที่จะต้องกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์
นั่นคือผลพวงของสิ่งที่เรียกว่า “แนวร่วมมุมกลับ”
ในห้วงเวลานั้นได้เกิดการปลุกระดมทางการเมืองครั้งใหญ่ กล่าวหาว่าคนรุ่นใหม่ทั้งหลาย รวมทั้งนิสิตนักศึกษาทั้งหลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ แม้ในต่างจังหวัดก็มีการกล่าวหาผู้นำท้องถิ่น หรือชาวบ้านที่เป็นผู้นำในหมู่บ้านที่ไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของข้าราชการในพื้นที่ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งๆ ที่บางพื้นที่ไม่มีใครรู้จักคอมมิวนิสต์เลยแม้แต่สักคนเดียว
เมื่อปลุกระดมกันมากขึ้นและกล่าวหากันมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้คนจำนวนมากถูกผลักไสให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ทั้งๆ ที่จำนวนมากก็ไม่รู้จักคอมมิวนิสต์ แต่เพราะความรักตัวกลัวภัยไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้ก็ต้องหนีเข้าป่าไปจับอาวุธร่วมกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยทำการต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตรอด จึงเป็นเหตุให้เขตงานการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขยายตัวลุกลามไปถึง 47 จังหวัด
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า “แนวร่วมมุมกลับ” ก็คือประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ และอายุวัยต่างๆ ที่แค่มีความเห็นไม่เป็นไปในทางเดียวกันกับอีกพวกหนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่ง แล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ในที่สุดก็ถูกไสหัวให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ครั้นถูกข่มเหงรังแกหรือถูกปองร้ายมากขึ้น คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำมาหากินเป็นปกติสุขได้ จึงต้องหนีเข้าป่าไปเป็นพวกคอมมิวนิสต์โดยปริยาย
เหตุการณ์ครั้งนั้นหากไม่มีผู้นำที่ปรีชาสามารถและมีสติปัญญาแล้ว เห็นทีบ้านเมืองจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ โดยเป็นโดมิโนตัวสุดท้ายดังที่คนทั้งหลายคาดการณ์กันไว้โดยมิพักต้องสงสัยเลย
ทว่าประเทศไทยของเรานั้นศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงใช้นโยบาย 66/2523 เชิญชวนให้ผู้มีความขัดแย้งทั้งหลายเข้ามาร่วมกันพัฒนาชาติไทย โดยนิรโทษกรรมความผิดทั้งหลายให้ทั้งหมด และยังให้การช่วยเหลือนานัปการ จึงทำให้ความขัดแย้งนั้นสิ้นสุดลง ทำให้สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง
มาถึงวันนี้สิ่งที่เรียกว่า “แนวร่วมมุมกลับ” กำลังเกิดขึ้นอย่างน่าตกใจ จึงเป็นเรื่องที่ชาวไทยทั้งประเทศจะต้องตั้งสติให้มั่นคง และทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ถูกต้องว่าเป็นอย่างไร
สถานการณ์ในขณะนี้คือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายที่มีอำนาจทางการเมือง กับฝ่ายที่ต้องการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการแย่งชิงเพื่อที่จะเป็นรัฐบาลของบรรดานักการเมืองทั้งหลายไม่ว่าหน้าเก่าหรือหน้าใหม่
แต่ทว่าแทนที่จะต่อสู้ขับเคี่ยวกันในทางนโยบายและในทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งตามใจชอบอันเป็นปกติของการเลือกตั้ง กลับมีการบิดเบือนสถานการณ์ให้กลายพันธุ์เป็นว่า ประเทศกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง นั่นคือกรณีเป็นการต่อสู้กันระหว่างผู้ที่มีความจงรักภักดีฝ่ายหนึ่ง กับพวกที่ไม่มีความจงรักภักดีอีกฝ่ายหนึ่ง
แล้วชี้หน้าด่าไล่ฝ่ายที่มีความเห็นไม่ตรงกันให้ไปเป็นพวกไม่จงรักภักดี ตรงนี้แหละเป็นปมประเด็นสำคัญ เพราะเป็นการบิดเบือนประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองให้เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับสถาบันสำคัญของชาติ
ที่สำคัญคือการตั้งขบวนการจำนวนมากจากทุกฝ่ายทำสงครามโซเชียลมีเดียกันอย่างเอิกเกริกราวกับว่าเป็นข้าศึกกันและกัน และโหมกระหน่ำซ้ำเติมกันอย่างรุนแรง จนพี่น้องเพื่อนพ้องและผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง
ที่สำคัญคือมีคนจำนวนมากที่สนับสนุนพรรคการเมืองบางพวกถูกขับไล่ไสส่งให้กลายเป็นพวกไม่จงรักภักดี ซึ่งถ้าดูจำนวนจากผลการเลือกตั้งแล้ว คนเหล่านั้นมีจำนวนกว่า 10 ล้านคน
การที่จะขับไล่ไสส่งประชาชนกว่า 10 ล้านคน ให้กลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ด้วยข้อหาว่าไม่จงรักภักดีนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญให้จงหนัก อย่าให้ซ้ำรอยแนวร่วมมุมกลับเมื่อครั้งเกิดสงครามกลางเมืองในอดีตอีกเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี