ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับคำเชิญจากผู้บริหารนครฮิโรชิมา และนครนางาซากิ ให้เดินทางไปเข้าร่วมพิธีไว้อาลัยการถูกระเบิดปรมาณูครบรอบ 80 ปี และร่วมการสัมมนาว่าด้วยเรื่องการเสริมสร้างสันติภาพ และการขจัดอาวุธปรมาณูหรือนิวเคลียร์ ในวันที่ 4 - 12 สิงหาคม ศกนี้
ผมเองตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี และกระตือรือร้น แม้ส่วนตัวผมจะมิได้เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องสันติภาพ และระเบิดปรมาณู หรืออาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด เพียงแต่ได้รับรู้ผ่านการเล่าเรียนทางประวัติศาสตร์ และผ่านชีวิตนักการทูตของไทย หรือข้าราชการสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดเวลา 37 ปีที่ได้เคยเกี่ยวข้องกับการเจรจาหารือว่าด้วยความมั่นคงและสันติภาพเป็นระยะๆ และคู่ขนานกันไปโดยตลอดมา ก็ได้ประสบเห็นกับการสู้รบทั้งระหว่างประเทศและการสู้รบในกรอบสงครามกลางเมือง จัดได้ว่าชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้ ก็ยังอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง การเผชิญหน้าและการประหัตประหารกันด้วยมนุษย์ของมวลมนุษยชาติ ไปจนถึงการแข่งขันกันอย่างไม่หยุดยั้งของการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหาร โดยประเทศส่วนใหญ่ของโลก และการเสริมสร้างแสนยานุภาพขององค์กรพันธมิตรร่วมมือทางด้านความมั่นคงและการทหารต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบและการคุกคามกัน
มนุษยชาติได้รบราฆ่าฟันกันมาตั้งแต่มนุษย์ได้เริ่มรวมตัวกันเป็นหมู่เป็นเหล่า เป็นชุมชน เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นชนชาติ เป็นรัฐ เป็นอาณาจักร เป็นประเทศชาติ จนในที่สุดก็ได้ฆ่าฟันกันอย่างโหดเหี้ยมอย่างใหญ่หลวงในสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 จวบจนเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลงก็มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ พร้อมด้วยข้อตกลง กฎบัตร กติกาต่างๆ เพื่อจรรโลงให้มวลมนุษยชาติจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ด้วยการออมชอม มิตรไมตรี และถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิผล ชาวโลกต่างยังมีชีวิตที่ยังแวดล้อมด้วยการเผชิญหน้า และความคิดอ่านที่จะเตรียมตัวเพื่อการสงคราม คำว่าสันติภาพ มักจะถูกลืมเลือน หรือถูกปฏิเสธไปโดยปริยาย
การจัดพิธีการไว้อาลัยการทิ้งระเบิดปรมาณูโดยเครื่องบินรบสหรัฐฯ จากน่านฟ้าเหนือนครฮิโรชิมา และนางาซากิ ครบรอบ 80 ปี น่าจะเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่มนุษยชาติจะได้ร่วมกันออกมาปฏิเสธสงครามและปฏิเสธอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งการปฏิเสธเพียงอย่างเดียวคงจะไม่เป็นการเพียงพอ มนุษยชาติควรจะต้องร่วมกันผลักดันส่งเสริมเรื่องสันติภาพให้อยู่เหนือเรื่องการสงคราม เพราะตราบใดที่โลกมนุษย์ยังติดกับอยู่กับเรื่องการสงคราม เรื่องสันติภาพก็จะเกิดขึ้นได้ยาก จึงเป็นความจำเป็นที่ชาวโลกทุกหมู่เหล่า เริ่มกลับมาคิดอ่านเรื่องความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และเริ่มปฏิเสธลัทธิการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารและปฏิเสธการถูกครอบงำของกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมทางการทหารที่มักจะมีอิทธิพลต่อแวดวงการเมือง สื่อ และความรู้สึกนึกคิดของประชาชนโดยทั่วไป
ชาวโลกต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องสันติภาพ เพราะนั่นคืออนาคตของชาวโลก สงครามมิใช่ทางออก สงครามคือตัวบ่อนทำลาย และชาวโลกจะเอาชนะสงครามได้ ชาวโลกก็จะต้องใฝ่หาสันติภาพ ด้วยการพูดจากัน ร่วมมือกัน และขับเคลื่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งโลกแห่งสันติภาพ
ในการจะไปร่วมสัมมนาที่นครฮิโรชิมาและนครนางาซากิดังกล่าว ผมเองก็มุ่งที่จะเชิญชวนให้ทุกคนมาให้ความสนใจเรื่องสันติภาพ และขับเคลื่อนร่วมกัน และเรียกร้องให้บรรดาผู้นำประเทศทั้งหลายยุติการเผชิญหน้า การนำเอางบประมาณไปใช้กับอาวุธยุทโธปกรณ์ แทนที่จะนำมาใช้กับการเสริมสร้างสันติสุขและสันติภาพ
ประเทศไทยไม่ได้เป็นภัยต่อใคร หรือประเทศใด และโดยทั่วไปเป็นสังคมพุทธที่มิได้มีการเลือกปฏิบัติ กีดกันใคร หรือยกตนข่มท่าน เพราะฉะนั้นประเทศไทยอยู่ในวิสัยที่จะนำพาในเรื่องการเสริมสร้างสันติภาพให้กับมวลมนุษยชาติ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี